หลักการตลาดทั่ว ๆ ไป กับงานคลัง…(4P)

.

เป็นเวลานานมาแล้วที่เรามีการค้าขาย และทำการค้ากันมาช้านาน..จนเรารู้จักคำว่าการตลาด…ซึ่งหลักการในการจัดการตลาดนั้น มี 4P ด้วยกัน ในการทำงานคลังก็มีหลักการจัดการหลายตัวเช่นกันนะครับ..แต่ผมได้วิชาจากพี่ที่ทำงานด้วยกัน ผมหลักการมันครอบคลุมดีนะครับ…ท่านบอกว่า ในการทำงานคลังสินค้าจะต้องรู้จัก 4P ผมจึงต้องถามย้ำกลับไปว่า..อันนี้เอามาจากหลักการทางการตลาดใช่ไหมครับ…..แกบอกว่า ไม่ซะทีเดียวนะ แค่ อินสปายเรฉัน…แล้วก็ต้องหัวเราะกันไป…

.

แต่แค่แรงบันดาลใจมันไม่ต้องมาเล่ากันแบบนี้หรอกนะครับ..แต่ที่ท่านเอามาดันเป็นทีเด็ดนี่สิครับ..เนื่องจากมันสอดคล้องและใช้งานได้จริง..มาเริ่มกันเลยดีกว่านะครับว่าแต่ละ P มีอะไรบ้าง แล้วผมจะพยายามมาเจาะลึกลงในแต่ละ P ให้ในวันถัด ๆ ไปนะครับ..

.

P ที่ 1 คือ Place หรือ “สถานที่” ในที่นี้จะขอหมายถึง คลังสินค้านั่นเองครับ…มีองค์ประกอบอะไรบ้าง…ก็คงไม่พ้นจาก ตัวอาคาร, Rack, Staging (พื้นที่จัดเรียงสินค้าชั่วคราว), เส้นทางวิ่งรถ, ห้องCopacking หรือ (VAS)Value Added Service, ห้องชาร์ทแบทเตอรี่อุปกรณ์ต่าง ๆ , ห้องเก็บสินค้าควบคุมอุณหภูมิ, ห้องเก็บสินค้าคืน หรือรอการตอบกลับจากทางลูกค้า (Quarantine Room/Area), ห้องเก็บสินค้ารอทำลาย, ห้องสารเตมีอันตราย ห้องธุรการ รวมไปถึงอุปกรณ์ที่ใช้ทำงานต่าง ๆ ……มากมายเลยนะครับ แต่สิ่งเหล่านี้ หากเราทำงานแต่ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ออกแบบและจัดเตรียมไว้ การทำงานก็จะไม่สอดคล้องกันนะครับ

P ที่ 2 คือ Product หรือ “ตัวสินค้า” ด้วยประสบการณ์แล้วนะครับ การเข้าใจถึงแก่นของการวางแผนขายสินค้าของลูกค้านั้นมีผลต่อการทำงานของคลังมาก ๆ เช่น หากเรารู้ว่าสินค้ามีพฤติกรรมที่ถูกจัดจ่ายอย่างไร ก็จะต้องจัดการให้สอดคล้อง..หลักการคิดง่าย ๆ ที่ชอบใช้กันคือ ABC Analysis (การจัดเรียงสินค้าตามความไวของการจ่ายสินค้า) และยังมีอีกหลากหลายมากที่ช่วยให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากความเข้าใจ P นี้

P ที่ 3 คือ People หรือ “ทีมงาน” นั่นเอง คนที่ทำงานกับเราไม่ว่าจะสูงกว่า ต่ำกว่า เท่ากัน ซ้ายมือหรือขวามือของเรา (ทิศทั้งหกในเชิงการทำงานนั่นเอง) ซึ่งเรื่องนี้จะว่าง่ายก็คงบอกว่า คุณกำลังประมาท จะว่ายากก็ต้องว่า ไม่เกินความพยายามของคุณหรอก..อาจจะทำงานด้วยกันต่อไม่ได้ ก็คงไม่ต่างกับการย้ายสโมสรของนักกีฬานั่นเอง..ดังนั้นศาสตร์ในการบริหารงาน คงเป้นกุญแจสู่ความสำเร็จที่ทุกวงการต้องยอมรับจริง ๆ

P ที่ 4 คือ Process หรือ “ขั้นตอนการทำงาน” เป็นสิ่งจำเป็นอีกสิ่งนึงเลย เนื่องจาก ขั้นตอนการทำงาน คือภาษาที่เราจะใช้สื่อสารกับทุกคนใน ทีมงาน (P ตัวที่ 3) นั่นเอง..การออกแบบ,เรียบเรียง, จัดสอน, ฝึกหัด, ทดสอบ,ปรับปรุง จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับการทำงาน ..มันอาจจะดูง่ายในการทำความเข้าใจ แต่มันจะยากเวลาที่ผลงานออกมาแล้ว แล้วก็ต้องถามว่า ทำไมไม่ทำตามขั้นตอนที่สอน….

.

โศกนาฏกรรมในคลังสินค้าเกิดขึ้นเสมอเมื่อ P ที่ 4 ถูกละเลย แต่ใช่ว่า P 1-3 จะไม่มีผลนะครับ..หากคุณจัดคลังไม่เรียบร้อยหา สินค้าไม่เจอ ก็ต้องทั้ง P1,4 เรียบร้อยในทันที…การจัดการคลังสินค้าจึงต้องเข้าใจ P ทั้ง 4 ตัวนี้ให้ถ่องแท้ แล้วจัดการมันอย่างสอดคล้องด้วยศิลปะ และหลักการที่เหมาะสม..โดย 4P เมื่อทำได้อย่างสอดคล้องแล้ว จะทำให้เราสามารถควบคุมทุนได้อย่างดีขึ้น

.

เหรียญย่อมมีสองด้าน..บางคนใช้ในกรณีที่มีเรื่องไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้ แต่อีกมุมหนึ่ง..ถ้าหากว่าเหรียญมีด้านเดียวแล้วมันจะเป็นเหรียญได้อย่างไร…ผมจึงต้องขอสอบถามท่านอาจารย์ว่า เอ้พี่ครับ แล้วด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานยังมีอีกนะครับ เช่น Facility, QA, Finance, IT จะไม่เกี่ยวกับการทำงานเลยหรอครับ…คำตอบที่ง่าย ยังคงเรียบง่ายและแฝงไปด้วยปรัชญาว่า…ก็ NON-4P ไง……ผมนี่อึ้งเลย…มีไม้เด็ดตลอดเลยพี่คนนี้..ไม่ธรรมดา.และพี่ก็หัวเราะออกมาว่า เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ ก็ยัดมันลงไปใน NON-4P ซะก็หมดเรื่องแล้ว..

.

NON-4P ผมข้ออ้างอิงถึงบทความ “สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้ง  7” นะครับ เนื่องจากในนั้นกล่าวไว้ค่อนข้างเยอะมากเลย…โดยคนแคระทั้ง 6 ที่ไม่ใช่  Operation หรือ ทีมปฏิบัติการนั่นเอง ที่เป็น   NON-4P อันได้แก่ Sale/BD, Facility, QA, IT, Finance, Purchasing, Human resource, Security, Safety, และอื่นๆนะครับ… โดนทีมงานเหล่านี้เป็นกำลังขับสำคัญที่ทำให้องค์กรไปต่อได้ และส่งเสริมการทำงานของทัพหน้าอย่าง..ทีมปฏิบัติการ (Operation) ครับ…

.

ลองจินตนาการนะครับ หากว่า ทีม Operation จะต้องจัดการทุกเรื่องด้วยตัวเอง เช่น จัดหาซื้อของเอง เทียบ 3 เจ้าเอง, ต้องอบรมเรื่อง Safety เอง, คุมงานก่อสร้างเอง, วางแผนเรื่องการรอ Audit, ประกาศหาบุคคลเข้าร่วมทำงาน….ทีมทัพหน้าของเราที่กลุ้มใจอยู่แล้วเรื่องการจัดส่งสินค้าให้ได้ตามเวลาที่กำหนด ด้วยคุณภาพและต้นทุนที่ถูกบังคับ…คงจะเห็นภาพนะครับว่า จะวุ่นวายแค่ไหนนะครับ ไม่ง่ายเลยจริงไหมครับ..

 

.

ดังนั้นทั้ง หลักการ 4P เองก็เป็นแกนหลักในการพิจารณาการทำงาน ส่วน NON-4P ก็คือตัวเสริมสำคัญที่องค์กรจะต้องจัดเตรียมตามความจำเป็น หากขาดไปงานที่ควรจะราบรื่นก็เกิดปัญหาได้นะครับ…ดังนั้น หากคุณมองหาและประเมินแต่ละจุดได้ครบ คุณน่าจะตอบคำถามได้แน่ ๆว่า ตัวไหนตกไปแล้ว และจะหาทางป้องกันอย่างไรครับ…

.

ใส่ความเห็น