รู้จักตัวเองก่อนดีที่สุด (Know yourself)

.

การรู้ว่าตัวเราเองคืออะไรนั้น ทำอะไรอยู่หลายคนคิดว่า น่าจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร..ก็รู้ ๆ กันอยู่ ใช้ชีวิตอยู่ แต่ลองตั้งคำถามให้ตัวเองนะครับ ว่าเอ้ แล้วทำไมเรายังต้องพึ่งพาคนที่สอนเราแสวงหาว่าเราคืออะไรกันอยู่ (วันนี้มาซะปรัชญาเลยนะครับ ห้าๆๆ) แต่อย่าเพิ่งเครียดครับ..ผมจะบอกแค่ว่า คนเราแปลกครับ ในแง่ของการทำงานคลังนั้น เราจะคิดไปเองเสมอว่า เรารู้ว่าตัวเองทำอะไรหรือเป็นอย่างไร..แล้วก้เริ่มพัฒนาปรับปรุงการทำงานในรูปแบบที่คิดว่าเรามีปัญหาตรงนั้น…

.
เราอยากแก้ปัญหามากมายในคลัง เพื่อให้แต่ละวันมีปัยหาเข้ามากวนใจน้อยลง หรือไม่ก็อยากจะพัฒนาการทำงานในคลังสินค้าเพื่อให้ต้นทุนลดลง หรือ ได้กำไรมากขึ้นจากการทำงานที่ไวขึ้น…แต่เท่าที่เคยเจอ ๆ มานะครับ หลายคนเลือกเชื่อสายตา หลายคนเลือกเชื่อตัวเลข..ในสายของผมนั้นเชื่อตัวเลขกับปลายทางที่ส่งเป็นหลักใยการจัดคลังสินค้าครับ…การวางผัง วางแผน ปรับปรุงการทำงาน มันเหมือนศิลปะครับ มันมีพลัง..เราจะมองหามันเจอเมื่อเจอปัญหาที่แท้จริง..และเมื่อเจอปัญหาที่คอยเล่นซ่อนแอบกับเรา เราก็จะพัฒนามันถูกทางเอง…

.

ความเชื่อเรื่องตัวเลขนั้น มันจะต้องสอดคล้องกับวิ่งที่เห็นที่ปลายทางเสมอมา… หรือเรียกว่า Order pattern คงจะอธิบายเป็นทฤษฎีได้ แต่คงไม่สนุก ตัวอย่างน่าจะชัดเจนกว่า…

.

การจัดคลังรองเท้าเจ้าหนึ่ง…ในตอนแรก จัดรองเท้าด้วยกันจัดเรียงสินค้าให้อยู่เต็มทุกช่องจัดเก็บ การหยิบก็หยิบได้ง่ายตามระบบ…แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนที่ดูแลคลังก็มีคำถามให้กับตัวเองว่า.. แล้วลูกค้าวางสินค้าบนชั้นวางสินค้าอย่างไร…จึงหาโอกาสไปเที่ยวดูร้านรองเท้ามากมายและพบสิ่งหนึ่งคือ การวางสินค้าบนชั้นนั้น ว่าเป็นรุ่น และการจัดส่งสินค้าไปที่ร้านนั้น จะต้องมีสินค้าที่ไปที่ร้านตามค่าเฉลี่ยของขนาดเท้าส่วนใหญ่ เช่น..ไซด์ 8,9,10,11 ของผู้ชาย จะถูกส่งไปจำนวนมากกว่า ไซด์ 7,12,13 ดังนั้นเขาจึงกลับมาทบทวน และถามว่า แล้วที่ทำทุกวันนี้หละมันตอบโจทย์จริงไหม ใช่จริงหรือที่วางสินค้าเรียงไซด์บนที่จัดเก็บที่ต่อ ๆ กันไป…ดังนั้น จึงเริ่มทดลองว่าสินค้าใหม่ ให้ตรงกับที่จะต้องจัดส่งให้หน้าร้าน โดยมีทุกขนาดวางเรียงต่อกันเป็นช่วง ๆ ทำให้เกืดการเดินสั้นลง และการหยิบสินค้านั้น หมดไปเป็น ช่วงๆ ไม่วางเรียงต่อกันเหมือนแต่ก่อน แต่ว่าให้ได้สัดส่วนของสินค้า (อ่านแล้วงง อย่าตกใจนะครับ หลังไมค์มาได้ครับ)….ทำให้งานไม่ต้องทำการเคลียร์สินค้าออกจากชั้นอีก และพื้นที่พร้อมที่จะนำสินค้าเก็บเข้าไปได้…เมื่อเขาพบดังนั้น เขาจึงทำกับสินค้าทุกตัวในคลัง..ทำให้เวลาการทำงานลดลงถึงขั้นไม่มี OT ตลอดทั้งเดือน…

.

อันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งนะครับที่อยากจะเล่าให้ฟังว่า…บางที เราอาจจะเพียงรู้ แต่ไม่รู้ลึก ๆ แท้ ๆ ว่าปัญหาที่แท้จริงของคลังนั้นจะแก้ไขที่ตรงไหน..แต่ดันมองหาว่า…เทคโนโลยีไหนหน่าที่เท่ห์และน่าจะแก้ไขปัญหา แล้วก็เอามาใช้ จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่มองหาอะไรใหม่ๆ แต่ความเป็นจริงแล้วนั้น การจะเลือกเทคโนโลยีหรือวิธีการทำงานมาทำให้เกิดขึ้นนั้น จะต้องเลือกด้วยสิ่งหนึ่งคือ ผลของการวิเคราะห์จากสถิติในการทำงานที่ผ่านมานั่นเอง..ลองเอาตัวนั้นมา บวก ลบ คุณ หาร ตัวนี้ดู อาจจะพบว่าเกิดอะไรขึ้นกับคลังสินค้าของเรา..แต่ไม่ใช่การ บวก ลบ คุณ หาร ปกตินะครับ แต่ต้องผ่านตรรกะเหมือนกันนะครับ เช่นการใช้สถิติมาเทียบเคียง, การใช้ Linear programming มาช่วยคิดว่าแนวโน้มหรือ Trend ของข้อมูลมันผันผวนแบบไหน มีปัจจัยอะไรที่คอยหนุนเนือง เช่น..ถ้าคุณขายรองเท้าของคนแก่ คุณอาจจะไม่สามารถเอาความนิยมของรองเท้าวัยรุ่นมาเทียบได้.. แต่หากคุณยังเอามาเทียบกันอยู่แล้วถามแต่ว่า จะจัดการมันอย่างไรนั่นแสดงว่าคุณไม่รู้จักตัวเองเอาเสียเลย..อาจจะทำให้ทำงานผิดทางไปนะครับ อันตรายมาก ๆ …..

.

ดังนั้นหากอยากรู้จักตัวเองเดี๋ยวกับงานคลังเยอะ ๆ ต้องทำ 3 สิ่งง่าย ๆ ครับ คือ ค้นคิด วิเคราะห์ และแยกแยะ ให้ชัดเจน..ว่า เราเจอกับอะไร และอะไรคือต้นตอกันแน่และแก้มันให้ตรงจุดซะ…ด้วยการทดลองที่ดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้วคุณจะพบเองว่า คลังคุณนั้น ดียังไง และถนัดอะไรกันแน่…บางทีการพัฒนาไปทางใดทางหนึ่งอย่างต่อเนื่องมาก ๆ อาจจะทำให้การพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเกิดขึ้น อย่างเช่น บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย เช่น ปตท, SCG, Toyota

.

ใส่ความเห็น