Who are they, 3PL?

โลกของเราหมุนตามวงโคจร แต่ธุรกิจขับเคลื่อนด้วย ความต้องการที่จะขายของกับการส่งมอบของไปยังมือผู้ซื้อ ในอดีตอาจจะมีความเร็วและช้าต่างจากในปัจจุบัน ตามความเหมาะสมและเทคโนโลยี แต่เบื้องหลังของการจัดการให้สามารถจัดส่งได้ เรีกยว่า Supply chain

Supply chain เป็นการเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้า จัดเตรียมสินค้าเพื่อรองรับความต้องการ จัดเก็บและจัดส่งสินค้าไปยังมือของลูกค้า โดยมี Logistics เป็นจุดเล็กๆ ที่เข้ามาขับเคลื่อนให้เกิดการเคลื่อนย้ายระหว่าง จุดต่อจุด (Node to Node) โดยองค์กรประกอบหลักของ Logistics ประกอบไปด้วย ทีมงานขนส่ง (Transportation) ทีมงานคลังสินค้า (Warehouse) ทีมงานเพิ่มมูลค่า (Value Added Service) ที่ทำงานเพื่อให้สินค้าส่งไปถึงที่หมาย

ผู้ที่คอยให้บริการเชื่อมต่อแต่ละขั้นตอน ในตลาดก็เรียกติดปากกันว่า งาน Logistics แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่า แต่ละ Logistics ทำงานแตกต่างกันอย่างไร เช่น บางเจ้าทำไมไม่ทำคลัง บางเจ้าทำแต่งานขนส่งล้วน ๆ บางเจ้าทำมันหมดเลย ตั้งแต่ขนส่งข้ามประเทศไปจนถึงประตูบ้าน แต่เมื่อเรามาดูคำปัจจุบันจะพบว่า การทำงานเพื่อการส่งไปที่ต่าง ๆ มันเป็นงานของมือที่ 3 หรือ 4 หรือ 5 แล้วแต่นิยามนั่นเอง โดนมือที่ 1 (1st party) คือ ผู้ผลิต และมือที่ 2 (2nd party) คือ ผู้ซื้อสินค้านั่นเอง

จากแผนภาพจะเห็นว่า การทำงานของ 3PL, 4PL และ 5PL มีความแตกต่างกัน อย่างไร

3PL จะทำงานเกี่ยวกับการ “จัดเก็บ” และ “จัดส่ง” สินค้าจากต้นทางไปยังปลายทางตามแผนงานของเจ้าของสินค้า

4PL จะทำงานเหมือน 3PL แต่จะมีส่วนของการวางแผนการจัดการสินค้าเข้าไปด้วย เช่น แผนการขาย กำหนดการขาย เป้นต้น

5PL อันนี้เหนือกว่า 4PL อีกนิดคือ ทำมันตั้งแต่วางแผนการผลิตไปเลยทีเดียว เจ้าของเงินก็มีแผนรวมกับยอดให้ แต่ทีมงานไปจัดการให้ได้ยอดนั้น

การทำงานในบ้านเราส่วนใหญ่ (ณ ปี 2021) ยังเป็นในรูปแบบของ 3PL จะมีเริ่มทำ 4PL แล้วบางส่วน โดยมักจะเริ่มจากธุรกิจรายใหญ่ที่มาจากต่างประเทศก่อน เพราะคนคุมอาจจะอยู่ที่ประเทศอื่น แต่มีคนจัดการในประเทศไทยได้ แต่ 3PL ยังคงเป็นที่นิยมอยู่

เมื่อเรารู้ว่าการขนส่งและจัดเก็บในแบบ 3PL เป็นที่นิยม ก็คงหนีไม่พ้นว่า ต้องดูต้นทุนกันว่า ราคาในการจัดการแต่ละขั้นตอนเป็นเท่าไหร่ ซึ่งในส่วนนี้ผมได้ใช้ค่าประมาณในตลาด โดยสินค้าเป็นสินค้ากล่องไม่เกิน 5 kgs และราคาที่ได้มา ผมไม่อาจเปิดเผยตัวเลขจริง ๆ ดังนั้นขอเปรียบเทียบให้พอเห็นภาพก่อน โดยค่าขนส่ง ต่อ ค่าจัดเก็บ จะเป็น 70:30 โดยประมาณ

แต่ในปีที่เราเจอกับไข้หวัดตัวใหม่อย่างโควิท ที่มีการตั้งกติการในโลกส่วนใหญ่ว่า ต้องเว้นระยะห่าง รวมทั้งลดการสัมผัส ทำให้แรงงานลดจำนวนลง การเคลื่อนย้ายของใหญ่ ๆ อย่างตู้คอนเทรนเนอร์ จึงทำได้ช้าลง เมื่อการให้บริการลดลง แต่ความต้องการเท่าเดิม (Supply decreasing) ราคาการให้บริการก็เริ่มตั้งได้ทันที ไม่ว่าจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ถ้าของมันต้องขาย ก็ต้องหาวิธีขายกันต่อไป (ตัวเลขสีแดงที่แสดงในภาพ คือ ค่าประมาณที่เพิ่มขึ้นจากราคาปกติประมาณ 5-6 เท่า แต่ ณ วันที่เขียนข้อความนั้น ได้ข่าวว่า การไปบางประเทศค่า freight พุ่งไปถึง 10 เท่าตัวแล้ว เพราะกระแสการหวาดระแวงโรคยังคงรุนแรงอยู่ และใช้เป็นกำแพงระหว่างประเทศอีกทอดหนึ่ง)

เราจะเห็นว่า ต้นทุนด้านการจัดเก็บและขนส่งนั้น หากเจ้าของสินค้าต้องลงมาปวดหัวเองก็คงน่าเบื่อมาก การมีคนออกมาสร้างระบบและทำงานเหล่านี้ให้จึงช่วยให้เจ้าของสินค้ามีความสะดวกสบายมากขึ้น รวมทั้งไม่ต้องลงมาลงทุนกับการจัดส่งที่มีต้นทุนค่อนข้างสูงทีเดียว

ต้นทุนของธุรกิจนั้นมักจะแบ่งง่ายๆ เป็น 2 ส่วน ได้แก่ Operation Expense (OpEx) และ Capital Expense (CapEx) โดยมีความแตกต่างของการบันทึกและวิเคราะห์แตกต่างกันออกไป เพื่อจัดการหลายส่วน ๆ ของการทำงาน เช่น การจัดการเรื่องทาง บัญชี ภาษี การควบคุมต้นทุนการทำงานและการลงทุน เป็นต้น ซึ่งการจ่ายเงินให้ OpEx นั้นประเมินจากการทำงานที่เกิดขึ้นในการให้บริการ หรือมีปฏิบัติการเกิดขึ้น แต่ CapEx คือค่าใช้จ่ายที่คิดจากมูลค่าของการลงทุน และจะใช้เทคนิคในการกระจายการลงทุนแบบไหนก้แล้วแต่แนวทางของแต่ละบริษัทนั้น ๆ ในภาพได้แสดงตัวอย่างคร่าว เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่าง

การประเมินต้นทุนทั้งสองส่วนนี้ ทางผู้ที่ขายสินค้าได้ยกเรื่องปวดหัวเหล่านี้ให้ 3PL ในงานจัดเก็บและขนส่งเรียบร้อย โดยเข้ามาดูเพียงการควบคุมคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐาน เช่นการประยุกต์ใช้ขอกำหนดต่าง ๆ ที่มีผลต่อการจัดการสินค้าอย่างเป็นระบบ เช่น ISO9000, GDP, GMP เป็นต้น รวมทั้งวัด KPI ของการทำงานว่าคุ้มค่าที่จะจ้างต่อไปรึป่าว หรือจะเปลี่ยนเจ้าผู้ให้บริการ (tendering)

เมื่อมีผู้ให้บริการหลายคน การเปรียบเทียบจึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เจ้าของสินค้ามีทางเลือกในการใช้บริการให้ตรงกับความต้องการ และดูคุ้มค่ามากที่สุดเท่าที่จะประเมินได้ ด้วยการเปิดโอกาสให้ 3PL เข้ามาเสนอราคาและรูปแบบการบริการให้แก่ เจ้าของสินค้า ในตลาดจะเรียกว่า Tendering หรือ Bidding โดยขั้นตอนจะเริ่มจากการที่เจ้าของสินค้าตั้งเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการใช้บริการครั้งนี้ก่อน พร้อมทั้งระบุปริมาณสินค้าที่ต้องการให้จัดการ และรูปแบบของการจ่ายเงิน (Volume and Payment Term) ให้ชัดเจน และเปิดข้อมูลในเชิงเอกสาร เรียกว่า RFP (Request for Proposal) หรือ RFQ (Request for Quotation) และส่งไปยัง 3PL ที่สนใจในตลาด (บางครั้งเจ้าของสินค้าจะเทียบจากชื่อเสียงว่า เจ้าไหน น่าจะดูแลสินค้าเราได้)

การปล่อย RFP / RFQ นั้นอาจจะส่งให้แก่เจ้าที่ทำได้ทุกรูปแบบของการจัดเก็บและจัดส่ง หรือแตกออกมาเป็นหลายฉบับก็สามารถทำได้ เพื่อเปรียบเทียบให้ชัดเจนในแต่ละส่วนเลย หรือการรวมกันอาจจะทำให้สามารถต่อรองราคาได้มากขึ้น เพราะเป็นคนกลุ่มเดียวกันบริการ ด่าที่เดียวจบ เป็นต้น

3PL โดยสรุปคือ supplier เข้าหนึ่งของผู้ผลิตที่จัดการเรื่องการจัดเก็บและจัดส่งให้แก่เข้าของสินค้าเพื่อนำสินค้าไปยังปลายได้อย่างสมบูรณ์ ตรงตามเวลาที่กำหนด ด้วยราคาที่ตกลงนั่นเอง ที่กล่าวมานั้นเป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้มองเห็นภาพมากขึ้นว่า 3PL เป็นธุรกิจอย่างไร และใครบ้างที่เกี่ยวข้องและเกี่ยวข้องอย่างไร โดย 3PL ก็ต้องเตรียมลูกเล่น และวิธีการบริการให้น่าตื่นเต้นและดึงดูดแก่เจ้าของสินค้าเสมอ ๆ ด้วยต้นทุนที่น่าคบหา

#Warehousemanagement, #3PL, #RFP, #RFQ, #Supplychain, #Warehouse, #Logistics, #Transportation, #Valueaddedservice,

ใส่ความเห็น