เรียงฐาน วางสูง (Product TiXHi)

บางครั้งเรื่องง่าย ๆ บางเรื่องในคลังเราอาจไม่เคยรู้และมองข้ามในทันทีก็มีนะครับ วันนี้ขอยกตัวอย่างเรื่อง การเรียงสินค้าบนพาเลท (Palletize)  พาเลทนั้นอาจะมีหลายขนาด แต่การวางสินค้าบนพาเลทคือการจัดสินค้าให้สอดคล้องกันระหว่าง กว้างยาวสูง (TiXHi), น้ำหนักทั้งหมดที่พาเลทและพื้นที่จัดเก็บวางได้ (Load Limited)

.

การเรียงสินค้านั้น เริ่มจากจุดที่สำคัญมาก่อนคือ พื้นที่จัดเก็บมีขนาด น้ำหนักทั้งหมดใน 1 พาเลท, กว้างยาวสูงเท่าไหร่ และต้องเผื่อระยะยกของรถตักสินค้า ตัวอย่างเช่น ช่องวางบน Rack กว้าง 2300 mm (2.30 m) ลึก 1050 mm (1.05m) ช่องเก็บสูง 1750mm (1.75 m) หากเราจะออกแบบว่าควรว่างยังไงก็ จัดไปครับ พาเลทกว้าง 1000mm วางได้ 2 พาเลท เว้นระหว่างพาเลท 100mm (10 cm) และ วางด้านลึก 1200mm (1.20m) แต่ส่วนสูงนั้น ต้องคิดที่กล่องสินค้าด้วยว่าจะวางเรียงยังไง….สรุปแล้วคือ ลองวางให้สามารถนำสินค้าเข้าช่องได้….(ลองดูจากภาพนะครับ จะเข้าใจง่ายขึ้น)

.

เรื่องการ ออกแบบอาจจะยาว แต่เรื่องการใช้งานจริงยาวกว่าที่คิดนะครับ เพราะ หากว่าออกแบบผิดหรือระบุจำนวนการเรียงผิด จะส่งผลอีกหลายอย่างมากครับ… เช่น การนำสินค้าเข้ามาเติม จะช้า จะเร็ว มันอยู่ตรงนี้ครับ…ถามว่าทำไม..เพราะในช่องหยิบสินค้า (pickface) นั้น เราจะระบุว่า สินค้าจะต้องมีกี่กล่อง แล้วเราจะจัดเรียงให้เหมาะสม (โดยจำนวนที่ต้องการใช้ได้มาจากยอดขายในแต่ละวันของลูกค้านั้นเอง…) จากนั้น เทียบกับความเป็นจริงว่าจะต้องใส่เท่าไหร่ เช่น แต่ละวันต้องการสินค้า A จำนวน 50 ลัง และบนพาเลทสามารถวางได้ 25 ลัง นั่นแสดงว่า เราจะต้องมีพื้นที่หยิบสินค้า 2 ช่อง หากมีแค่ช่องเดียว ก็ต้องเติม (Replenishment) 2 รอบต่อวัน ถ้าการเรียงสินค้ามันไม่สอดคล้องเช่น  24 ลังต่อหนึ่งพาเลท ก็ต้องเติมแล้วนำพาเลทสุดท้ายกลับไปเก็บ 1 ชิ้นที่เหลือบนแต่ละพาเลทมารวมกันเพื่อรอจ่ายเมื่อถูกส่งมาจนครบ ยาวเลย…

.

แล้วรู้ไปแล้วได้อะไร..คงต้องบอกว่า การทำงานของคลังสินค้า จะให้ไว เร็ว มีประสิทธิภาพ นั้น ขึ้นอยู่กับการเลือกที่จะวางสินค้าแบบไหนครับ…นั่นเอง เชื่อไหมครับ บางคลังไม่ได้คิดเรื่องการเรียงบนพาเลท (TiXHi) นั้น ถึงขั้นจ่ายงานออกไม่ได้เลยทีเดียว..

 

การออกแบบจึงสำคัญมาก แต่ปัญหาใหญ่ที่พบคือ เมื่อทำงานร่วมกันนั้นกับไม่มีระยะ กว้าง ยาว สูง ของกล่องสินค้า เหมือนผู้ผลิตไม่ได้ระบุไว้….พอไม่ได้ระบุก็ต้องประมาณ  ประมาณผิดแล้วนำไปใช้ การวางสินค้าก็จะแปลกๆทันทีเพราะมันวางแล้วมันไม่ล้นจากที่ต้องใช้ ก็ขาดตลอดเวลา…ส่งผลถึงกันหมดครับ…

.

เป็นที่น่าตกใจมากนะครับว่า ทำไมผู้ผลิตในไทยหลายราย ยังไม่มีขนาดของสินค้า หรือไม่อัพเดทข้อมูล…ดังนั้น เวลาออกแบบมันจึงทำได้ยากมาก ๆ แล้วผลกระทบ ก็จะเริ่มเข้าสู่วงจรที่ร่ายมานานคือ

  1. เรียงของยังไงดี
  2. จะต้องเติมจำนวนเท่าไหร่
  3. หยิบงานไม่ทัน เพราะรอการเติมสินค้า
  4. พื้นที่ในอากาศใช้ไม่คุ้มค่า, Rack จะใช้งานไม่พอกับที่ออกแบบ เป็นต้น

มองในภาพรวมแล้วอาจจะต้องคิดร่วมกันทั้งหมดว่า จะทำอย่างไรให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวสินค้าแม่นยำ และสามารถทำงานได้ดีขึ้นอีกเยอะเลยนะครับ ไม่ใช่แค่เพื่อการทำงานภายในคลัง แต่เป็นการทำงานของแผนกขนส่งด้วยครับ

.

การบันทึกอย่างมีระบบ จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพที่ดีรวมทั้งคุ้มค่ากับเงินที่ใช้ในการดำเนินงานและการลงทุนมากที่สุดสำหรับทุกฝ่าย…ข้อมูลที่ดีมีคุณค่าเสมอครับ..

คลังล้น..คลังร้าง (Over Saturated Warehouse, Abandon Warehouse)

คลังล้น คือเก็บกันจนไม่มีที่จะเก็บแล้ว…ก็เกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น คำสั่งผลิตเผื่อเพื่อจัดเตรียมปิดโรงผลิตเพื่อซ่อมบำรุง สินค้าขายไม่ได้ สินค้าคืนจากร้านค้า รัฐบาลขึ้นภาษีสำหรับสินค้าตัวนั้นอย่างกะทันหัน เป็นต้น ทำให้คลังมันล้น…..ทีมงานก็ได้แค่ บ่นกันระงม แล้วก็ทำหน้าที่ต่อไป แต่เชื่อไหมครับ ท่ามกลางความล้นหลามนี้นั้น รายได้ของการให้บริการก็ได้รับมากขึ้น ไม่ว่าจะคิดเงินกันแบบ Open book หรือ Cost Plus…. ความลำบากนี้ยังมาซึ้งรายรับของพนักงานที่มากขึ้น .. “ก็ยังดีกว่าไม่มีงานทำ” ได้ยินจนชินแต่ก็จริงของคนพูด…

.

คลังร้าง คือไม่มีอะไรจะเก็บ เงียบจนหญ้ามันรกชัน..น่ากลัวจะต้องมีการถ่ายคนอวดฝีกันเลยทีเดียว…ซึ่งมันก็มีสาเหตุจากหลายปัจจัยเช่นกันไม่ว่าจะ เกิดจากการบริหารผิดพลาดจนธนาคารยึด บริการไม่ดี ออกแบบไม่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า เคยน้ำท่วม เป็นต้น ยังผลให้ไม่มีใครมาเช่า…น่าเศร้าไปนะครับ… “เหงาแบบนี้ ขอมีงานล้นมือดีกว่า” จริงไหมครับ…

.

จากทั้งคลังล้นและคลังร้างนั้นมีปัจจัยร่วมกันอยู่เรื่องนึงที่น่าสนใจนะครับ..ง่าย ๆ ใกล้ตัว แต่เวลาจะมองให้ขาดมันยากเหลือเกิน..ทางการตลอดเรียกว่า “ทำเล” (Place) 1 ใน 4 P ที่เรียนรู้กันมาตั้งแต่เมื่อปีค.ศ. 19XX ที่ผ่านมา นักเรียนสมัยนี้แทบจะท่องกันจนเบื่อ..แต่กว่าจะมองได้ถ่องแท้ และเข้าใจนั้นมันไม่ง่ายเลยจริงไหมครับ…การศึกษาหาทำเลที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งก่อนการลงทุนก่อสร้างและให้บริการคลังสินค้า…..แล้วเราจะใช้อะไรมาศึกษาหละ?

.

หลักความคิดที่ใช้ในการคัดเลือกพื้นที่ก็มีสิ่งหนึ่งที่นิยมใช้กัน เพื่อจัดสรรและวางแผนการจัดการทรัพยากรให้ได้คุ้มค่าที่สุด จากทำเลที่ตั้ง นั้นก็คือ “การวิเคราะห์หาจุดศูนย์ถ่วงของมวล” (Center of Gravity) …..มันเกี่ยวจริง ๆ หรอ ถ้าเป็นนักวิจัยสายฟิสิกส์นิวเคลียร์ คงจะมองเป็น ควานตั้มฟิสิกส์ไปแล้ว…แต่ผมจะพากลับมาก่อนครับว่ามันทำงานยังไง มีข้อจำกัดยังไง…รวมทั้งจริง ๆ หลักการนี้เองที่ใช้วงกรอื่นๆ ก็ได้ครับ

.

การหา Center of Gravity นั้นจะต้องเทียบด้วยหลายปัจจัย เช่น แหล่งต้นทางและปลายทางที่คลังจะรับหรือจ่ายสินค้าไปยังปลายทาง….ปัจจัยที่กล่าวถึงมีหลายอย่างมาก ได้แก่ สภาพจราจรในบริเวณนั้น ๆ, ราคาที่ดิน, ความใกล้กับสาธารณูปโภคต่าง ๆ, ที่ตั้งอยู่ใกล้ที่รับสินค้าปลายทาง เป็นต้น…เมื่อนำปัจจัยต่าง ๆ เข้ามาประมวลด้วยการให้  Weight ในสมการที่เตรียมไว้ พร้อมทั้งใส่ค่าปัจจัยต่าง ๆ ลงไปก็โกโก้ครัชเลย..ได้สรุปมาว่า ควรจะตั้งคลังที่ไหนดี…

.

แต่ใช่ว่า เมื่อเราเลือกได้ตำแหน่งที่สมการระบุแล้วจะมามารถใช้จุดนั้นในการทำได้ เพราะ การนำข้อมูลตำแหน่งต่าง ๆ ของพื้นที่ เป็นเพียงการอ้างอิงปัจจัยต่าง ๆ ผ่านค่าละติจูดและลองจิจูด..ดังนั้นหากคิดค่าทั้งสองออกมาได้จริง ทางผู้เลือกตำแหน่งคลังยังคงต้องมองอีกหลายอย่าง เช่น พื้นที่ใกล้เคียงจุดนั้นมีพื้นที่เปล่าให้ซื้อ หรือคลังสินค้าพร้อมเช่าหรือไม่…ที่ดินมีราคามากกว่าราคาประเมินมากน้อยแค่ไหน..ต้องลงทุนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงพื้นที่มากไหม..เป็นต้นนะครับ

.

ไม่ง่ายและไม่ยากนะครับ…. ทำเล ใครว่าไม่สำคัญ…เราลองมองหาตัวอย่างวิธีสังเกตกันดีกว่าครับ ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการ คุณจะเลือกที่ตั้งคลังที่ไหน…

.

เช่น The Mall สนใจเลือกที่จะตั้งคลังไว้แถวแยกบางนา…อาจจะอยู่ด้านหลัง เดอะมอลล์บางนาก็เป็นได้..เพราะอะไรครับ? คำตอบก็คือ สาขาส่วนใหญ่ของห้างในเครือเดอะมอลล์นั้น อยู่ฝั่งตะวันออกของ กทมทั้งนั้น…และอยู่บนถนนสุขุมวิท อีกตั้งกี่ที่หละครับ…คำตอบคงไม่พ้นคำว่า “เพียบ” ใช่ไหมครับ..

.

คลังสินค้าของ Hypermarket ทั้งหลาย อย่าง Big C, Tesco, marko ก็ยังเลือกที่จะมีคลังที่กระจายสินค้าอยู่ทั้งหลายตำแหน่งหลักรอบ ๆ กทม…เพราะคลังสินค้าเหล่านี้สามารถช่วยกันแยกงานกระจาย ส่งไปยังปลายทางที่กำหนด…

.

แต่ละสถานประกอบการก็มีเหตุผลในการเลือกผลของการเลือกทำเลที่แตกต่างกันออกไป ยังไงเสีย การเลือกที่ตั้งของคลังสินค้าก็เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งเลยที่เกี่ยวข้องการวางแผนเพื่อให้บริการคลัง…ดังนั้นการเลือกสร้างหรือเช่าคลังเพื่อการให้บริการนั้น อย่าลืมคิดถึงเรื่องทำเลที่ตั้งคลังด้วยนะครับ..ดั่งคำว่า “ทำเลดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” ที่ยังคงอมตะอยู่ตลอด

สโนว์ไวท์ และคนแคระทั้ง 7 (Snowwhite and 7 Dwarfs)

.

จากบทประพันธ์ที่เราคุ้นเคยเพราะเป็นนิทานและการตูนที่ผ่าน ๆ ตากัน..ในเรื่องคงไม่มีอะไรมากไปกว่า ตัวเอกของเรื่องคือ สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้ง 7 คน…แต่ถ้าลองมองเข้าไปในเนื้อเรื่องดี ๆ จะเห็นว่า คนแคระทั้ง 7 คนนี้มีลักษณะ และการกระทำไม่เหมือนกันเลย…และในการตูนนั้น เอาจริง ๆ สโนว์ไวท์ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากร้องเพลงกับนอน เมื่อเทียบกับคนแคระที่ออกไปทำมาหากินและค่อยดูแลทุกอย่างในบ้าน… แต่หากเปรียบกับองค์กรนั้น..ก็น่าสนุกไปอีกแบบนะครับ..

.

คลังสินค้าเองก็เป็นองค์กรหนึ่งที่บริหารจัดการจัดส่งสินค้า.,,หากเปรียบกันแล้ว คนแคระเป็นของตัวเองเช่นกัน..

  1. คนแคระคน “แรก” และเป็นผู้ขับเคลื่อยงานภายในคลังคือ Operation หรือฝ่ายปฏิบัติการในคลัง คือทีมงานที่คอยจัดเตรียมส่งสินค้า
  2. คนแคระคนที่ “สอง” คือ Sale/Business Development หรือทีมขายนั่นเอง ทีมนี้มีหน้าที่รับความต้องการของลูกค้าและออกแบบรวมทั้งจัดแจงเข้าเสนอราคาประมูลและนำงานเข้าสู่บริษัท
  3. คนแคระคนที่ “สาม” คือ Finance หรือทีมบัญชี ผู้คอยตรวจสอบเงินตราเข้าออกบริษัท และตรวจสอบผลการดำเนินงานต่าง ๆ ในแต่ละส่วนของบริษัท ให้สอดคล้องและถูกต้อง
  4. คนแคระคนที่ “สี่” คือ IT หรือกระดูกสันหลังของคัลงผู้เป็นผู้ออกแบบและควบคุมระบบสารสนเทศภายในบริษัทให้สามารถจัดสินค้าและตรวจสอบการเคลื่อนไหวต่าง ๆ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการจัดการคลังสินค้า
  5. คนแคระคนที่ “ห้า” คือ Quality Assurance หรือเรียกสั้นว่า QA นั่นเอง บางที่อาจจะรวม Safety และ งานด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) เข้าไปด้วย เนื่องจากงานมาตรฐานต่างๆ ที่ QA เป็นคนควบคุมนั้น งานด้วนความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมก็อยู่ภายใต้การควบคุมนั้นด้วย และตัว QA เองก็ต้องควบคุมเพื่อให้งานภายในคลังสอดคล้องกับที่ระบุไว้ (เวลา Audit เค้าเรียกว่า “สอดคล้อง” นะครับ แต่จากที่เห็น เป็นการหาความไม่สอดคล้องที่คล้ายกับ “การจับผิด” เสียยิ่งกระไร)
  6. คนแคระคนที่ “หก” คือ Facility / Maintenance หรือ ฝ่ายอาคารและสถานที่ ที่คอยดูแลเรื่องแบบ สิ่งก่อสร้าง และการดูแลรักษาอาคารและอุปกรณ์ต่าง ๆ ของคลังสินค้า
  7. คนแคระคนที่ “เจ็ด” หรือคนสุดท้ายในขบวนการ สโนว์ไวท์นั้น คือ HR และ Purchasing ผมของรวม 2 ทีมเข้าด้วยกันนะครับ..เพราะบางที จัดรวมเข้าไปที่เดียวกันเลย..ทำงานช่วยเหลือกันไป…โดย HR คือ Human Resource ที่มีหน้าที่ ดูแลสอดส่องความเป็นอยู่ของ พนักงานในบริษัท ไม่ว่าจะ ด้านสวัสดิการ ความสุข และพัฒนาการของพนักงาน ส่วน Purchasing นั้นเป็นทีมงานจัดซื้อ ซึ่งเหมือนเป็นฝ่ายสนับสนุนให้การทำงานราบรื่น บนต่าใช้จ่ายที่เหมาะสมนะครับ..

.

เมื่อคนแคระทั้ง 7 ทำงานร่วมกันเป็นเรื่องเดียวกันแล้ว นั่นก็คือการทำงานของแต่ละคนเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประกอบการที่ดี ไม่ต่างจากคนแคระ ที่แต่ละวันก็เข้าเหมืองไปขุดเพชร แร่ธาตุ หรือทองมาขาย แต่เมื่อกลับถึงบ้านนั้น แต่ละคนก็มีหน้าที่ที่ต่างกันออกไป..ดังนั้นไม่ว่าหน้าที่ไหนก็สำคัญทั้งนั้น หากแต่ความสำคัญนั้น จะต้องสอดคล้องกันเพื่อให้องค์กรพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน….

.

แล้ว….สโนว์ไวท์หละคือใคร?????… จากที่กล่าวมาข้างต้นจริง ๆ แล้วเหมือนว่า สโนว์ไวท์จะไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่เลย..เพราะคนแคระทั้ง 7 ได้ทำไปแล้ว…แต่ผมขอเปรียบเทียบกับคนในองค์กรหรืองานคลังแล้วกันนะครับ ก็จะออกมาที่ ผู้บริหารนั่นเอง…แล้วผู้บริหารหละมีหน้าที่อะไรในองค์กร……มองจากภายนอกบอกได้เลยครับว่า คุณจะรู้สึกว่า ผู้บริหารนี่ทำงานง่ายเลย สั่งๆๆๆๆๆๆๆ อย่างเดียว..แต่เชื่อเถอะครับว่าไม่ได้ง่ายแบบนั้นหรอกครับ ทั้งเรื่องการตัดสินใจที่เฉียบขาด กำหนดทิศทางบริษัท..ความใจเย็นที่ต้องมาคอยจัดการลูกน้องแต่ละทีม…การแบกรับความเสี่ยงขององค์กรไว้เมื่อภัยมา….ลองเทียบดีๆนะครับ สโนว์ไวท์ก็มีเรื่องแบบนี้ให้จัดการนะครับ หากมองให้ลึก ๆ แล้ว สโนว์ไวท์อยู่บ้านคนแคระในแต่ละวัน กว่าจะกำหราบคนแคระทั้ง 7 ให้ไม่ทะเลาะกัน ก็ปวดหัวแล้ว แถมยังต้องเป็นตัวนำของเนื้อเรื่องซึ่งมองอีกมุมนึงคือการนำพาบริษัทไปต่อในทิศทางของตน รวมทั้งรับความเสี่ยงก่อนคนอื่น…คือแม่มดคงไม่มานั่งเอาแอปเปิ้ลให้คนแคระกิน เพราะคนแคระไม่ได้มีผลต่อทิศทางของอะไรบางอย่างนะจริงไหมครับ…

.

ผมเคยฟังคุณ “ตัน” อิชิตัน เล่าในทอร์คโชว์ของเขาว่า..การทำงานแต่ละตำแหน่งก็เหมือนนาฬิกาบนข้อมือของเรานี่เอง..(นาฬิกาแบบมีเข็มนะครับ) คือมีเข็มทั้งสิ้น 3 เข็ม…เข็มวินาที เข็มนาที เข็มขั่วโมง…เวลาเข็มวินาทีมันเดินไปนั้นครบ 1 รอบ เข็มนาทีจะขยับ 1 ช่อง และเมื่อเข็มวินาทีเดินครบ 3,600 รอบ เข็มนาทีก็จะครบ 60 ช่อง เข็มชั่วโมงก็จะขยับ 1 ช่วง เลยทีเดียว…นั่นหมายความว่า ทุกกลไกในคลังสินค้าหรือองค์กรนั้นมีผลหมด หากทุกคนตั้งใจทำงาน ความก้าวหน้าก็เกิดขึ้น หากเปรียบเป็นฝ่ายปฏิบัติการ (Operation) สามารถจัดการรับส่งทุกวัน ทำงานสม่ำเสมอ..หัวหน้างาน ซึ่งก็คือเข็มนาทีก็สามารถยื่นส่งผลงานที่ดีให้แก่ฝ่าบริหารหรือเข็มชั่วโมงได้ว่องไว เข็มชั่วโมงก็จะขยับได้ไวขึ้น เวลาที่วิ่งไปขององค์กรก็จะเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว…ดังนั้น อย่าดูถูกหน้าที่ของตัวเอง ให้เรารู้หน้าที่ของเราและทำให้ดีที่สุด เมื่อผลงานที่ออกมาดีนั้นเกิดขึ้นเป็นประจักษ์แล้วนั้นก็จะพบว่า..ความเจริญก้าวหน้าแกองค์กรจะเกิดขึ้นเอง และทุกคนในองค์กรก็จะประสบความสำเร็จไปด้วยกัน…(อย่ามองแต่โบนัสนะครับ ความมั่นคงขององค์กรก็สำคัญจนถึงขั้นอาจจะสำคัญกว่าโบนัสนะครับ)

.

เบื้องหลังคนคลัง

ความสำเร็จของการทำงานคลังนั้น มีส่วนประกอบหลักสำคัญหลายประการ ทั้งอุปกรณ์จัดเก็บ ระบบจัดการคลังสินค้า และอื่นๆอีกมากมาย แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดคงไม่พ้น พนักงานทุกๆคนในคลังสินค้า.. เพราะไม่ว่าระบบจะเทพแค่ไหน หากบุคลากรในคลัง ไม่มีความชำนาญในการใช้ระบบแล้ว สักวัน ระบบก็จะถูกแทนที่ด้วยการทำงานแบบขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ของกองไว้ไม่มีใครดูแลติดตาม..

.

ดังคำว่าความรู้และวินัย (Knowledge and Discipline ) ในเรื่องเกี่ยวกับการทำงานในคลังเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะทำให้พนักงานสามารถทำงานได้ดี และส่งผลต่อ ผลงานของผู้ให้บริการคลังสินค้า…แต่เชื่อไหมครับจากการทำงานที่ผ่านมานั้น ประสบการณ์ของผมสอนครับว่า ไม่ใช่เพียงแค่ ความรู้และวินัยเท่านัน หากแต่ปัญหาที่ผมเจอประจำของคนคลังคือ..

.

พนักงานติดเงินกันเป็นทอดๆ, ติดหวยกันงอมแงม, เดินโพยบอล โพยหวยกันเป็นว่าเล่น เป็นต้นนะครับ ทุกๆ เดือนมันต้องมีวันที่ ประสิทธิผลของการทำงานตกฮวบ (Productivity decreasing)

.

คำถามครับ ทำไมคนคลังทั้งหลายถึงทำกิจกรรมพวกนี้จนไม่สนใจงานของตัวเอง ( อย่าว่าแต่คนคลังเลยครับ..) รู้ไหมครับ คำตอบที่ผมได้คือ “ไม่มีเงินใช้” ครับ

.

คำตอบช๊อคโลกสำหรับผมเลยครับ ไม่ได้ช๊อคเพราะแปลกใหม่นะครับ แต่ช๊อคเพราะเพิ่งเข้าใจว่าทำไมคนคลังทั้งหลายถึงทำงานแบบขอไปทีบ้าง เช้าชามเย็นชามบ้าง ทำงานส่งๆ บ้าง แบ่งพรรคพวกบ้าง… เพราะมันมีเบื้องหลังคือ คนคลังเหล่านี้จะต้องเอาตัวรอดให้ได้จากเจ้าหนี้ทั้งหลาย รวมทั้งมองหาว่าจะเอาอะไรกินไปวันๆ…

.

แต่ที่หนักกว่านั้นคือ แล้วทำไมถึงต้องหาเงินเยอะๆ มาเพื่อยาไส้….คำตอบก็สวนกันตรงๆตัวเลยครับ.. เรา ประเทศเรา แทบจะไม่ได้สอนเรื่องการวางแผนการเงินให้แก่ประชาชนในประเทศของเราเลย… ก็นั่นสิครับ บัตรเครดิตได้ง่าย… แต่น้องๆ พนักงานยังไม่รู้เลยครับว่าบัตรเหล่านี้ไว้ทำอะไร..รู้แต่ว่าถ้าใช้แล้วจะได้ของมาก่อนและจ่ายทีหลัง..ก็ได้ทั้งต้นและดอกมาเป็นผลลัพธ์ แล้วก็แก้กันด้วยการหาเงินมาแก้ ..ปัญหาเกี่ยวกับเงินมันแก้ด้วยความรู้ทางด้านการเงินไม่ใช่การเอาเงินไปแก้…จริงมั้ยครับ

.

เรื่องการเงินนี้ผมคงไม่ไปต่อไกลกว่านี้นะครับ เพราะตอนนี้มีผู้สอนเรื่องความฉลาดทางการเงินเยอะมาก ทั้งสอนเพื่อให้เรารอด หรือสอนเพื่อหลอกไปลงทุนนะครับ… แต่ผลของการเงินขาดมือ หรือขาดสภาพคล่องนั้น…มันทำให้น้องๆ เสีย “สมาธิ” อย่างรุนแรงมากนะครับ…

.

ผมยังคงเชื่ออยู่ว่าหากเราแก้ถูกจุดจริงๆ.. ผลการทำงานจะออกมาดี.. แต่ต้นเหตุที่ผมเจอจากชีวิตจริงคือเรื่องการวางแผนการเงินนั้น มันดูไม่ง่ายเอาเสียเลย ทั้งใกล้ตัว ทั้งพูดยาก..ก็คงได้แต่ฝากไว้ว่า..ใช้การวิเคราะห์ตามหลักสูตรของเมื่อ 2500 กว่าปีก่อนมาแก้ไขปัญหานี้ได้ครับ..

.

ปัญหาเชิงปัจเจก ต้องแก้ที่ตัวเรานะครับ… มองกลับมาที่ตัวเราก่อนว่าเราทุกข์ตรงไหน (ทุกข์) และมองกลับไปหาเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) จากนั้นลองจินตนาการนิดนึงว่า เราจะเป็นยังไงถ้าเราไม่มีทุกข์นั้น (นิโรธ) สุดท้าย หาทางทำให้ผลที่เราต้องการเกิดขึ้นได้ (มรรค) อย่ามองว่าอริยสัจสี่เป็นของเก่านะครับ ใช้ได้เสมอครับ..

.

ลองมองน้องในทีมดีๆนะครับ ว่าเจอปัญหาแบบที่ผมเคยเจอไหม ถ้าใช่ แล้วเราพอจะมีความรู้ แบ่งปันเพื่อให้เขารู้จักแก้ปัญหาทางการเงินรวมทั้งมอบอนาคตที่เขาจะได้รับจากความพยายามของเขานะครับ..มันไม่ได้ช่วยแค่ทำให้ผลการทำงานของคลังดีขึ้นหรอกครับ…แต่จะมองได้ถึงการทำให้ชีวิตและประเทศชาติดีขึ้นด้วยครับ…

ปู๊ดป๊าด หยิบมาให้ทันที (Automatic Warehouse)

.

อัตโนมัติ (Automatic) ในคลังสินค้ามันมีหน้าตายังไง…ตามหลักของคลังสินค้านั้น มีการทำงานหลัก ๆ ตามหลักฟิสิกส์ อยู่ 2 อย่าง คือการเคลื่อนไหว (Dynamic) กับอยู่กับที (Static) เราจะวุ่นวายกับเรียบง่ายในการทำงานก็เพราะ 2 แนวคิดนี้..บางทีดูไม่เกี่ยว…แต่เราลองดูมิติให้เห็นภาพนะครับ…

.

น้อง ๆ จะต้องตักสินค้าเข้าไปเก็บ ก็คือจาก Dynamic ไปยัง Static เมื่อหยิบสินค้าจัดส่ง ก็จาก Static ไป Dynamic… อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ..จุดเริ่มมันอยู่ตรงนี้ครับ…ผมอยากจะบอกว่า ถ้าเราจัดการให้เราจัดการเรื่องพวกนี้ได้ เป็นอันจบถูกไหมครับ…ในปี 1960 ก็จึงเริ่มมีความคิดว่า เอาเครื่องจักรที่สามารถควบคุมพิกัดของสินค้าบน Rack (Static) แล้วก็เป็นเครื่องจักรที่สามารถเคลื่อนย้าย (Dynamic) มายังจุดหมายปลายทางที่เราต้องการ..ผมคงไม่อธิบายมากกว่า เพราะเอาวีดีโอจาก Youtube มาแนบให้ดูแล้วนะครับ…..

.

ที่ยกเรื่องนี้ขึ่นมาเพราะจะย้ายของไปไหนก็แล้วแต่นะครับ..สุดท้าย เราต้องการทำทุกอย่างอยู่บน เวลาที่กำหนดจริงไหมครับ..ดังนั้นผมจะขอมาเสนอมุมมองเรื่องงบที่จะต้องลงทุนกันดีกว่าครับ…ว่ามันคุ้มจริงหรอ กับความปู๊ดปาดที่เราแลกกับเม็ดเงินที่จะลงทุน…

.

ช่วยด้วยสมการดีกว่าครับ คลังสินค้าทั่วไป ต้นทุนหลัก ๆ ก็ ค่าเช่า (Rental) + ค่าแรง (Manpower) + ค่าอุปกรณ์จัดการ (MHE) + ค่าระบบจัดการ (IT) + เงินลงทุนในเรื่องต่างๆ (Investment) แล้วเมื่อสร้างคลังตามปกติก็คงไม่พ้นว่า จะสร้าง Rack จ้างคนเข้ามาทำงาน..อุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ามาจัดการถูกไหมครับ….แต่เมื่อมีแนวคิดว่า จะเอา ASRS (Automated storage and retrieval system) มาใช้แล้วมันคุ้มไหม…

.

ความเปลี่ยนแปลงของการใช้ ASRS นั้น ทำให้ พื้นที่ลดลง, ค่าเช่าก็ลดตาม, แรงานใช้น้อยลง, อุปกรณ์แพงขึ้นทันที, ระบบจัดการจ่ายไม่ต่างจากเดิมมาก, การลงุทนก็มีค่าใช้จ่ายหลายตัวหายไป หลายตัวเพิ่มขึ้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบ….แต่โดยรวม แค่ค่าเช่า, ค่าจ้างพนักงาน ลดลงก็มีส่วนที่จะพลิกชีวิตกันเลยทีเดียว..มองระยะก็เงินก้อนใหญ่ มองระยะยาวก็ลดความวุ่นวายไปเยอะมาก…

.

แต่ระบบอัตโนมัติ…ไม่ใช่ยาแก้ปวดหัวที่แท้จริงเสมอไปนะครับ…เพราะการจะเลือกใช้จริง ๆ …มันไมได้ดูแค่ต้นทุนที่จะลงทุน แต่ยังต้องมองว่า มันถึงขั้นจะต้องทำแบบนี้จริงหรอไม่….เช่น ถ้าลูกค้าของคุณ เก็บของเยอะจริง ๆ แต่ไม่ได้ถูกหยิบจ่ายบ่อย..อาจจะไม่จำเป็น..ถ้าสินค้ามีความหลากหลายมากมายหลาย SKU อาจจะใช้ได้ไม่คุ้มก็เป็นไปได้..ดังนั้นเวลาจะใช้งานจริง ๆ นั้น ในไทยเริ่มแผ่หลายกับผู้ผลิต แต่ผู้ให้บริการคลังสินค้ากับไม่ฮิตในทันที คงพอเห็นภาพนะครับ…

.

ดังนั้นการเลือกอุปกรณ์อาจจะต้องมาทีหลัง แต่เราต้องรู้ก่อนว่า ความเคลื่อนไหวของสินค้ามันมีความจำเป็นแค่ไหน ความไวในการจัดส่งสินค้าก่อน…จะส่งสินค้ายังไง…แล้วเราจะเลือกเครื่องมือได้ถูกต้องครับ…จักรยานแพงแต่คุณแค่ต้องการซื้อข้าวแกงแค่หน้าปากซอย ก็ไม่ต้องซื้อมาหรอกครับ ผมเชื่อว่า ซาก๊าน (แชมป์โลกคนล่าสุดปี 2017 – สามสมัยซ้อน) ก็คงแค่ปั่นจักรยานพับไปซื้อหละครับ 555

.

Link Youtube: https://www.youtube.com/watch?v=r4ekwTShuyo

 

ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent : A.I)

ขอโหนกระแสสักเรื่องนะครับ เดี๋ยวจะตกยุคเสียก่อน..มาเริ่มกันเลยครับ กับคำว่า “ปัญญาประดิษฐ์” หรือเรียกสั้นว่า A.I ..และอย่างเคยครับ หลายคนรู้จักมันค่อนข้างดีเลย..ใช้กันทุกวันแล้วในตอนนี้ สอดแทรกเข้ามาในชีวิตประจำวันไปหมด ไม่ว่าจะ Google Search Engine ที่แสนจะรู้ใจเราว่าจะหาสิ่งใด, ระบบ Siri ที่ออกแบบให้คิดนั่นนี่มาตอบสนองความต้องการของเราผ่านมือถือ…และเมื่อไม่นานมานี้ ประเทศแถบทวีปยุโรป สามารถทดลองสร้าง A.I ที่มีความคิดและไตร่ตรองเพื่อตัดสินใจเองได้แล้ว และความคิดของ A.I นั้นเริ่มก้าวข้ามความรู้ที่เรามีเช่น การประดิษฐ์ภาษากันเอง จนผู้ทดสอบต้องทำลายทิ้ง…ยุคคนเหล็กหล่อล่ำแบบลุงอาโนลคงอีกไม่นานเกินไปแล้ว คงต้องพึ่งพา จอห์น คอนเนอร์กันหละคราวนี้…..

.

แต่ก่อนจะโลกระเบิดตูมตามไปนั้น คลังสินค้าก็ยังคงทำงานกันต่อไป ซึ่งในคลังเองก็มี A.I เข้ามาร่วมทำงานกับพนักงานในสารพัดที่เลย..หลัก ๆ แล้วมันมีมาในหลากหลายรูปแบบครับ แต่มักจะมาในรูปแบบการทำตามคำสั่งของผู้ใช้ระบบและจัดการข้อมูลให้เราตามที่ออกแบบไว้ (Strategy set) ฟังดูก็ง่ายนะครับ ไม่เห็นมีอะไรเลย..แต่ผมขออธิบายเพิ่มเติมนะครับ..

.

การทำงานของระบบจัดการคลังสินค้านั้น หากเราทำเอง ตัวเราเองก็คือคนสั่งการ การทำงานภายในคลัง.. หากแต่เริ่มเข้าสู่ระบบหละ จะคิดยังไง…ก็คงบอกได้ว่ามันเริ่มจากการที่ผู้คุมระบบจัดการคลังสินค้า (WMS Administrator) นั้น เป็นผู้ตั้งค่า (Set up) การสั่งรับและจ่ายสินค้า (In and Out) ให้เป็นไปตามข้อตกลงกับลูกค้า…ขอยกตัวอย่างนะครับ..

.

คลังสินค้าเก็บน้ำผลไม้เจ้าหนึ่ง เมื่อเริ่มจัดเก็บสินค้านั้น…ก่อนจะเริ่ม ทางผู้ใช้บริการ จะต้องระบุเงื่อนไขการรับสินค้าเช่น สินค้าที่หมดอายุก่อน (FEFO – First Expire First Out) จะต้องจ่ายออกก่อน หรือสินค้าที่จ่ายถึงร้านค้าจะต้องมีอายุสินค้าไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 ของอายุสินค้าทั้งหมด…ถ้าเราไม่ระบุ และต้องมานั่งตรวจสอบทั้งคลังเพื่อเลือกสินค้าจ่ายออกนั้ การทำงานคงไม่ง่าย..แต่หากให้ A.I ช่วยหละ มีคนจะคอยหาข้อมูลนับพันหมื่นพาเลทในคลังสินค้าและเปรียบเทียบให้สามารถหยิบสินค้าได้ สบาย ๆ เลย..ดังนั้น เงื่อนไขของผู้ใช้บริการคลังสินค้า จะต้องเป็นผู้กำหนดให้ชัดเจน และสอดคล้องกับเงื่อนไข ของการตลาดและการเงิน.. A.I จึงเป้นตัวช่วยชั้นเลิศในการทำงานจริงมั้ยครับ…

.

แต่ยังไม่หมดแค่เรื่องของในระบบนะครับ มันดูจับต้องยากไปนิดนึง คราวนี้ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นชัดขึ้น แล้วอาจจะทำให้เข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก A.I ครับ…ในปัจจุบันในประเทศไทยมีคลังสินค้าหลายคลังที่ลงทุนเพื่อทำคลังสินค้า อัตโนมัติ…ส่วนใหญ่สินค้าที่จะใช้การจัดเก็บแบบนี้ในไทยยังมีไม่มาก และจะต้องเป็นสินค้าที่หยิบคราวละมาก ๆ เป็น พาเลท ๆ เพื่อให้คุ้มค่าในการลงทุน โดยการสร้างพื้นที่จัดเก็บไม่ได้ต่างจากเดิมมาก แต่จะมีหุ่นยนต์พร้อมกับรางเลื่อน เพื่อเคลื่อนย้ายหุ่นยนต์นั้น ไปตักสินค้าจากตำแหน่งจัดเก็บ… และมาส่งยังพื้นที่รับสินค้าที่กำหนด..ระบบดังกล่าว เรียกว่า ASRS – Automated Storage and Retrieval System ความสูงของระบบสามารถทำให้สูงได้เท่ากับข้อจำกัดของอาคารเลยทีเดีย บางทีสูงถึง 23-25 ชั้น, ระบบออกแบบให้สามารถจัดเก็บได้ตามกลุ่มสินค้าหรือตามอายุสินค้า, ตักได้ตลอดเวลาการทำงาน ไม่มีการกีดขวางกันในช่องทางหยิบสินค้า..

.

ความสะดวกและแม่นยำในการทำงานของระบบ และภาวะการทดถอยของความสามารถของแรงงานที่ลดลง รวมทั้ง AEC นั้นได้เปิดโอกาสให้แรงงานต่างด้าวหลั่งไหลเข้ามาตามที่ต่าง ๆ ในการทำงาน..สำหรับนายทุนแล้วคงตัดสินใจที่จะเลือกใช้แรงงานต่อหรือ A.I นั้น ถ้ามีเงินในการจัดการ อุปกรณ์ที่แสนจะแม่นยำ คงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า…ดังคำที่ว่า “ในอนาคต หากจะเลือกทำอาชีพ ควรจะต้องเป็นอาชีพที่ไม่มีเครื่องจักรทำแทนได้”

.

ดังที่ได้กล่าวมา ปัญญาประดิษฐ์ (A.I) ได้ถูกดัดแปลงเพื่อทำงานในหลาย ๆ ส่วนในชีวิตเรา..รวมทั้งเริ่มเข้ามาทดแทนงานบ้างอย่าง..เพื่อ ลดความผิดพลาดและเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ…หากวันนึงการที่เรายัดความคิดเข้าสู่ระบบมากพอที่จะตัดสินใจได้ดีจนเราสามารถเอามาแทนที่หัวหน้างานได้สำเร็จ…มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ไกลจนเกินจริงไป..

.

ความเปลี่ยนแปลงไม่มีวันหยุด…ทุกอย่างพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว…หากเรายังเดินอาจจะไม่ทันอีกแล้ว…การก้าวที่มั่นคงและไม่ตกโลกไปนั้นก็เป็นเรื่องจำเป็นจริง ๆ ..ดังนั้นการทำงานที่ดีคือวิถีทาง แต่นอกจากสิ่งนี้แล้วการเรียนรู้ระบบให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอคงหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว

.

ขอให้ทุกท่านโชคดีและผ่านยุคคนเหล็กที่ใกล้เข้ามานะครับ

ทีมขาย.. (Sale Team)

.

อยากจะหารายได้ ย่อมก็ต้องมี “คนขาย” …จะขายได้ก็ต้องมีผู้ซื้อ…หลักการการตลาดง่าย ๆ ที่เป็นธรรมชาติรอบตัวเรา..ไม่ว่าสินค้าจะเป็นวัตถุที่จับต้องได้.. การให้บริการ…การให้ความรู้ความบันเทิง….และอีกมากมาย…งานของคลังนั้นก็มีงานขาย ไม่ต่างจากการขายสินค้าทั่วไป เป็นการขายบริการเพื่อรับ – จ่าย สินค้าออกจากคลังไปยังปลายทางนั่นเอง…

.

งานของพนักงานขายงานบริการของคลังนั้น จะมีหน้าที่หลักคือการเข้าพบลูกค้า ปรึกษาหาความต้องการของลูกค้าที่จะใช้บริการคลัง(Customer Demand), หาจุดที่ลูกค้าอยากแก้ไข (Pain Point), สอดส่องแนวทางการปรับปรุงการทำงานให้แก่ลูกค้า (Improvement Area) ภายใต้งบประมาณ (Budget) ที่ได้ตั้งไว้…ลูกค้าเองก็ต้องการการบริการในราคาที่เหมาะสม..ดังนั้นจึงเกิดการประมูลขึ้น (Bidding) การทำงานก็มีขั้นตอนไม่ยากครับ…ทีมขายก็รับรู้ความต้องการมา..ทีมงานอื่นก็รับไม้ต่อ ออกแบบ ประเมินราคา และส่งกลับเพื่อยื่นส่งให้ลูกค้าพิจารณาต่อไป..

.

แต่อีกมุมหนึ่ง ทีมขายของลูกค้าเองก็มีผลกับการทำงานของคลังสินค้าอย่างสาหัสเหมือนกันนะครับ..เพราะมีเรื่องหนึ่งที่ลูกค้าเองก็ต้องปวดหัวเป็นทอด ๆ เช่น การประมาณความต้องการของตลาด (Demand Planning) ซึ่งหากว่าลูกค้าประเมินผิดไป อาจจะส่งผลให้เกิดเรื่องราวหลาย ๆ อย่างเช่น..การผลิตเกิน (Over product) การรับสินค้าเข้าคลังเกินจนต้องไปเช่าคลังเพิ่มเติม (Overflow) หรืออาจจะมีสินค้าไม่พอขาย ส่งผลให้ใช้คลังสินค้าไม่คุ้มค่า และจะต้องจ่ายเงินค่าจ้างแรงงานโดยไม่จำเป็น… รวมทั้งการที่ตลาดไม่นิ่ง มีการเหวี่ยงขึ้นลง…และในช่วงปี พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมานั้น เห็นได้ชัดอย่างยิ่ง ในช่วงหลังวันที่ 13 ต.ค. 59 ที่ผ่านมา ที่ไม่มีคนไทยคนใดลืมเลือนไปนั้น..การค้าขายแทบจะชะงัก เงียบไปทั้งตลาด เหมือนการเคลื่อนไหวในประเทศแทบจะเรียกได้ว่า อมพาต..ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ในช่วงเวลาบางช่วง ออกแบบหรือวางแผนง่าย..แต่บางช่วงวางแผนยากจริง ๆ..

.

จากตัวอย่างของความเปลี่ยนแปลงยังมีเหตุผลนึงที่เป็นทีเด็ดมากของการตลาดเลยทีเดียว เหนือกว่าทุกเหตุผลที่เคยเจอมา….ในอดีตมีลูกค้าขายเครื่องกีฬาเจ้าหนึ่ง เป็น Distributor ที่นำเข้าสินค้าหลากหลายยี่ห้อเข้ามาขาย…โดยมีรองเท้าชูโรงยี่ห้อหนึ่งรวมอยู่ด้วย…รองเท้า “ตะเกียบหนีบปลาหมึก”, รองเท้า  “พื้นโค้ง”, รองเท้า “รถตัก”, และอีกหลากหลาย แต่ทีเด็ดอยู่ที่ทีมขายของรองเท้า “ท่าเรือหิน” ที่มีราคาของสินค้าไม่ใช่ระดับธรรมดาเลย…และการจัดส่งก้ไม่ธรรมดาเช่นกันครับ…ยกตัวอย่างสมมุตินะครับ เพื่อให้เห็นภาพง่าย ๆ นะครับ..คือ สั่งจ่ายรองเท้าออกไปกว่า 2,000 คู่ และก็ขายกันไปตามกาลเวลา…โดยส่วนใหญ่ ร้านก็จะขายจนกว่าจะหมดเทรนของรองเท้ารุ่นนั้น ๆ เช่น 3-6 เดือนต่อรุ่น…แต่เหตุที่เกิดขึ้นนั้นเหนือชั้นเกินคาดเดา…มีคำสั่งลูกค้าให้เก็บสินค้าคืนคลัง….(อย่าลืมนะครับ….งานเดียวของคลังสินค้าที่ทุกคนมักมองข้ามทั้งที่รู้ว่ามี คือ งานคืนนั่นเอง…) ทางคลังสินค้าได้รับเอกสารมาก่อนล่วงหน้า ตามที่ได้ตกลงตามขั้นตอนการทำงาน แต่ที่เซอร์ไพด์คือ มีรองเท้าที่สามารถอ้างอิงเทียบจาก Order 2,000 คู่ได้นั้น จำนวน 1,998 คู่กลับมาคืนคลัง..ในเวลาแค่เดือนเดียว..

.

ปกติ ถ้ามองแล้วมันเป็นตลกร้ายที่ร้ายมาก ๆ เลยทีเดียวนะครับ… เนื่องจาก รองเท้าทั้ง 2,000 คู่นั้น จะมีต้นทุนหลายรายการด้วยกันกว่าจะจัดส่งถึงร้าน เช่น ค่าบริการ รับสินค้า, ติดสติ๊กเกอร์, ตรวจสอบสินค้า, จัดเก็บ, หยิบจ่าย, จัดส่ง….แค่นี้รองเท้าคู่นึงก็มีค่าใช้จ่ายติดตัวไปไม่น้อยแล้ว จริงไหมครับ…แต่ไม่จบแค่นั้นสิครับ…เมื่อมีคำสั่งนำสินค้าคืนคลัง (Return) นั่นหมายถึง..จะมีค่าไปรับสินค้ากลับ, ค่าตรวจสอบ, ค่าจัดเก็บคืน รวมทั้งสินค้าก็ยังต้องเรียงตามอายุสินค้าเพื่อจ่ายในครั้งถัดไปอีก…….แต่เรื่องธรรมดาจะเอามาเม้าทำไมจริงไหมครับ…มันมีเรื่องที่ให้วิเคราะห์เล่น ๆ ได้อีก 2-3 ประเด็นคือ…หนึ่ง…ยอดขายของทีมขายชุดนี้สวยงามมาก….สอง……สินค้าที่จัดส่งแบบนี้ ยังเกิดขึ้นซ้ำทุกเดือน…จนเกิดภาวะคลังล้น…….สาม…คุณจะสามารถพบเจอโฆษณาขายได้หลายจุดในกทม (ช่วงที่โปรโมท) แต่ที่พิเศษที่นึงคือ บนทีวีของรถร่วมขนส่งมวลชนย่านรังสิต..และรถของบริษัทในเครือเดียวกัน…ลองคิดดี ๆ นะครับ ความสามารถของทีมขายชุดนี้ ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดนะครับ…ได้รับคำชมจากนาย…แถม บริษัท Logistics ที่ให้บริการก็ได้รับเงินค่าทำกิจกรรมเหล่านี้ก็มีรายได้พิเศษทีเดียวเชียว….

.

บอกได้เลยครับว่างานขายไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆ ครับ..และหากเราทำด้วยความประมาทนั้น..อย่างที่บอกครับ…จบไม่สวยเหมือนก้านแก้วหรือใจเริงแน่ ๆ ครับ 555

.

ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้แก่ ทีมขายทุกทีมนะครับ…พวกคุณคือทัพหน้า พวกคุณมีคนที่เสียสละพลังงานอันมากมาย เพื่อคนข้างหลัง…อยากให้คุณตระหนักและมองกลับมาข้างหลังเสมอนะครับ แล้วคุณจะรู้ว่าคุณคือคนสำคัญจริง ๆ …สู้ ๆ ครับทีมขาย..

.

QR Code VS BAR Code

คงเป็นเรื่องเก่าสำหรับหลายคน แต่ก็อาจจะมีบางท่านที่ยังไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์ยังไง และมีประโยชน์ยังไงกับคลังสินค้าครับ.. Barcode นั้นถูกสร้างขึ้นเมื่อราว ค.ศ. 1950 และเมื่อราว 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น ก็มี QR Code แพร่หลายในการใช้งานในเมืองไทย ทั้ง การแอดไลน์ (โปรแกรมแชทยอดฮิตในเมืองไทย) รวมทั้งเริ่มแพร่หลายเข้ามาในรูปแบบของการบันทึกค่า URL ของ Website เพื่อง่ายต่อการส่งต่อลิงค์ ด้วยการ ส่งภาพ และผู้รับปลายทางสามารถสแกนด้วยโปรแกรมบนมือถือก็เปิดอ่านได้แล้ว….

.

สรุปก่อนไปต่อนะครับ

Barcode เก็บข้อมูล เชิงเดียว อ่านค่าได้ค่าเดียว

QR Code เก็บข้อมูลเชิงซ้อน อ่านได้ค่าหลายค่าแล้วแต่การระบุ

.

เมื่อมองมาที่คลังสินค้านั้น ในหลาย ๆ สินค้า ก็มี Barcode มานานมากแล้ว แต่ไม่ใช่ทุกผลิตภัณฑ์ ..หากจะถามว่า

.

แล้วมันช่วยอะไร? ก็คงบอกได้ว่า การมี barcode จะช่วยจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินค้าไว้ และเมื่อสินค้าเข้าสู่คลังสินค้าแล้ว การสื่อสารระหว่างระบบกับผู้ใช้งาน ไม่จำเป็นจะต้องพิมพ์ข้อมูลทุกอย่าง แต่สามารถใช้เพียงการ Scan เพื่อให้อ่านค่าใน Barcode ได้ …และเมื่อเกิดการแพร่หลายของ QR Code แล้วนั้น สินค้าหลายตัวจึงเริ่มหันมาใช้….

.

ทำไมถึงหันมาใช้? ก็ต้องบอกก่อนว่า QR Code นั้น มันมีทีเด็ดครับ…ด้วยการเก็บข้อมูลเชิงซ้อนได้ภายใน QR Code คือ เมื่อคุณ Scan QR Code แล้วนั้น มันจะถูกอ่านค่าได้มากกว่าแค่ รหัสเชิงเดี่ยวแบบ Barcode การใช้งานจึงมีการใส่ข้อมูลเข้าไปหลายอย่าง เช่น SKU, Batch, Lot, Manufacturing Date, Expiry Date เป็นต้น…ลองคิดตามดูนะครับ เมื่อใส่เข้าไปได้แบบนี้ เวลานำสินค้าเข้าคลัง Barcode หรือ QR Code ตัวไหนจะง่ายกว่ากันครับ.. คำตอบคงต้องบอกว่าเป็น QR Code ใช่ไหมครับ

.

แต่ในโลกความเป็นจริงมันอาจจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้น…เพราะ การสร้าง Code 1 ตัวขึ้นมาเพื่อสินค้าแต่ละตัวนั้น อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด หรือผู้บริการเองมองว่า ไม่จำเป็นต้องมี เพราะในสินค้าบางตัวนั้น จะต้องทำ Sticker เพื่อแปะบนกล่องสินค้า..ส่งผลให้..ในยุคปัจจุบันนั้น สินค้าหลาย ๆ รายการนั้น แม้นจะมีมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีแม้นกระทั่ง Barcode ส่งผลให้ต้องเกิดการ อ่านและจดกันเรื่อยมา…ไม่ใช่เรื่องยากและง่ายซะทีเดียวครับ…

.

หากจะมองให้ใกล้ตัวขึ้น คงต้องบอกว่า ด้วยความเปลี่ยนแปลงของโลก เราก็จะกึ่งเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน QR Code ไปโดยปริยาย เพราะเมื่อไม่นานมานี้ ธนาคารหลาย ๆ ธนาคารในประเทศไทย ปรัปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งการใช้ระบบ Digital เข้ามาใช้กับชีวิตประจำวัน ดูจะเป็นแก่นหลักของการพัฒนานี้…เราสามารถจ่ายเงินค่าวินมอเตอร์ไซด์ผ่านAppของธนาคารได้แล้ว..ไม่ต้องถือเงินสดด้วยซ้ำ…

.

เทียบกับงานคลังสินค้าแล้วหละ…”เงิน” ก็เหมือนเป็นสินค้าคงคลัง (Inventory), “ผู้ใช้เงิน” ก็เหมือนกับพนักงานคลังสินค้า (Operator), “App มือถือ” ก็เหมือนกับระบบการจัดการคลังสินค้า WMS, “เลขที่บัญชี” ก็เหมือนกันตำแหน่งที่จัดเก็บสินค้า… แทบจะไม่แตกต่างเลยในเชิงระบบ แต่แตกต่างที่นั่นมันคือเงินของเรา….

.

การเปลี่ยนแปลงนั้นยากสำหรับโลกเสมอ แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นเสมอเช่นกัน.. ไม่ว่าจะเปลี่ยนจากการใช้ Barcode ไปสู่ QR Code หรือ การเปลี่ยนจากการโอนเงินจากการกรอกแบบฟอร์ม กลายเป็น QR Code หรือ การบันทึกข้อมูลการเคลื่อนไหวของสินค้าในคลังจากการจดมือสู่การใช้ระบบ…

.

ลองเปิดใจรับนะครับ บางทีอาจจะง่ายกว่าที่คุณคิด…

.

ขอเสริมนอกเรื่องคลังนิดนึงนะครับ..หลายคนบ่นเรื่อง การใช้ App อาจจะถูกตรวจสอบ.. การใช้ Promptpay อาจจะถูกตรวจสอบ…ไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้ครับผม …ผมเชื่อว่า ทุกคนทำอะไร รัฐไม่ได้รู้ขนาดนั้นหรอกครับ แต่ในส่วนของเงินที่คุณต้องจ่ายรัฐ เชื่อสิครับ รัฐก็ไม่ปล่อยให้คุรลอยนวลหรอกครับ ดังนั้น หากจะลองใช้เครื่องมือใหม่ ๆ ผมก็มองว่า ลองเปลี่ยนแปลงไปใช้ดูสักครั้งนะครับ ถ้ามันช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น ก็จัดเลยครับ..

จะเริ่มต้นทั้งที…(Starting point)

.

เวลาจะเริ่มเตรียมงานขึ้นคลังมันก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมหลายเรื่องทีเดียว..ทั้งเรื่องของขั้นตอนการทำงาน, การเตรียมคน, ก่อสร้างหรือปรับปรุงสถานที่, วางอุปกรณ์เครื่องดักแมลง, อุปกรณ์ความปลอดภัยต่างๆ, อื่น ๆ อีกมากมาย…แต่จุดเริ่มต้นของการทำเตรียมงานเหล่านี้มีเรื่องหลัก ๆ 2 เรื่องที่ต้องดูคือ

  1. ใครจะทำอะไรบ้าง..
  2. แต่ละคนจะทำงานกันอย่างไร ด้วยงบเท่าไหร่..

ถ้าขึ้นผิดก็คิดจนตัวตายเลยทีเดียว…การเริ่มต้นที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่งครับ..เพราะถ้าเริ่มผิดปลายทางจะบานมาเลยนะครับ…หลงทางไปไกล อาจจะสาหัสกว่า ก้านแก้ว หรือ ใจเริง เสียอีก..

.

ส่วนใหญ่ จะเริ่มคลังก็จะมีคนเข้ามาเตรียมงาน เพื่อให้ 2 ข้อที่กล่าวด้านบนนั้น ดำเนินการอย่างสอดคล้อง…ซึ่งเมื่อเตรียมความพร้อมได้ครบจริงๆ จุดเริ่มต้นและเส้นทางวิ่งนั้น จะน่าวิ่งและไปได้ไกล..ทั้งตามลำดับและขนานกันไป…โดยส่วนใหญ่หากเริ่มจากที่ดินเปล่าเลยก็อย่างน้อยๆ 8-12 เดือนกว่าจะเริ่มรับส่งของกันได้..ก็ถือว่าเป็นปกตินะครับ…

.

แต่บนโลกเรื่องสวยหรูมันไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน…ขอยกตัวอย่างนะครับ…จากที่มีเวลาเป็นปีในการเตรียมการ ทีมงานได้วางแผนงานกัน เพื่อเตรียมการทำงานต่าง ๆ อย่างรอบคอบ ศึกษาความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี.. แต่เมื่อถึงวันที่เริ่มมีการให้บริการจริงนั้น พบว่า ไม่สามารถส่งสินค้าออกไปได้ ที่เรียกว่า backlog หรืออาจจะส่งสินค้าไปก็ไม่ครบถ้วน… สาเหตุที่เกิดไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียวเท่านั้น…. หากแต่เกิดจากหลายสาเหตุมาก ๆ เช่น พนักงานไม่มีความรู้เพียงพอสำหรับการทำงาน, สินค้าอยู่ไม่ถูกที่หลังจากที่ย้ายสินค้าจากคลังเก่า ซึ่งแค่ 2 สาเหตุนี้ถือว่าสาหัสแล้วจริงไหมครับ…แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางป้องกันนะครับ เพราะสามารถวางแผนก่อนที่สินค้าจะเริ่มการเคลื่อนย้าย หรือเข้ามาสู่คลังสินค้า..

.

มีบางคลัง ข้างบนตกลงกันไว้อย่างดีว่า จะเป็นพี่น้องกัน..แต่คนทำงานกลับไม่ได้เตรียมพร้อมอะไร ก็เริ่มต้นขนย้ายและส่งสินค้า..แต่น้องนั่นไม่รู้ว่าความเป็นอยู่ของพี่ที่เคยเป็นมามันช่างสมบูรณ์เสียเหลือเกิน เหมือนแทบจะขยับปากก็มีคนมาคอยดูแลแล้ว…แต่เมื่อย้ายไปแล้วนั่นไปไม่รอด กลับยอมทำสิ่งหนึ่งคือให้น้องที่ดูแลคนเดิม..ดูแลต่ออีกระยะ เพื่อให้น้องคนใหม่มารับช่วงต่อได้อย่างราบรื่น…ความรักครั้งใหม่มันช่างหอมหวานเสียจนสามารถทำร้ายจิตใจคนรักเก่าได้ลงคอจริง…

.

อีกเรื่องหนึ่งที่ยอดฮิตมากคือ ลูกค้าแจ้งและบอกเสมอว่า ไม่มีเวลาแล้วต้องเริ่มจ่ายของภายใน 2 สัปดาห์ หรือให้เวลาเตรียมตัวได้ไม่เกิน 2 เดือน…ถ้ามีสถานที่อยู่แล้ว ก็ยังพอไหวนะครับ..แต่เท่าที่เจอ ๆ กันมาก็มีทั้งแบบที่พอรับได้ กับอีกแบบคือ จะขึ้นให้ได้โดยไม่สนว่าจะวุ่นวายแค่ไหน ขอเรียกแบบนี้ว่าตะแคงขึ้นแล้วกันนะครับ…และที่สำคัญ ดันขึ้นได้ซะงั้น..ธรรมดาซะที่ไหนหละครับ…

.

เริ่มต้นได้ด้วยการใช้วิธีการทำงานที่ง่ายที่สุด…พื้นฐานที่สุด..ไม่ขอ ความพิเศษอะไรเลย เพียงแค่ บันทึกความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ออกเอกสารจัดส่งได้ มีรถไปส่งสินค้า…ถึงร้านสาขาแรกเปิดและจำหน่ายสินค้าได้.. 2 สัปดาห์ที่ทำงานทุกวัน..ดันเปิดคลังที่สามารถรับส่งสินค้าได้…เมื่อเวลาผ่านไป การจัดส่งสามารถส่งสินค้าให้แก่ร้านค้าเพื่อการขายได้อย่างสมบูรณ์แล้วนั้น ลูกค้าก้เริ่มเข้าสู่ภาวะการพัฒนาปรับปรุง

.

เวลาอาจช่วยให้เราเตรียมตัวได้ดีขึ้น..ความพร้อมและครบวงจร อาจจะทำให้เราดูดี…แต่พื้นฐานของการทำงานกลับเป็นเรื่องสำคัญมากจนบางครั้งเรามองข้ามไป…เอาเรื่องอื่นมาเป็นหลักในวางแผนงาน…ดังนั้นเราคงต้องทบทวนก่อนว่าจริง ๆ แล้ว…พื้นฐานของการทำงานนั้น..ได้ใช้งานอย่างถูกต้องแล้วหรือยัง…แล้วค่อยต่อยอดเป็นขั้นตอนถัดไป..

.

จะก้าวเดินยังต้องตั้งไข่…จะนับสองมันต้องมีหนึ่ง…อย่าลืมนะครับ มองที่พื้นฐานก่อน แล้วจะเสริมเติมอะไร ก็ค่อย ๆ ทำ ทำจากสุดเริ่มต้นนี่แหละชัดเจนที่สุดครับ หากไม่รู้ทางไปจริง ๆ ให้กลับไปที่จุดเริ่มต้นนะครับ…

.

งานบ้าน งานคลัง (Manage A Warehouse like A House)

เรื่องของงานบ้าน ถ้าพูดถึงแล้วก็จะนึกถึงการทำงานบ้านที่เราคุ้นเคยกันนะครับ ทำเพื่อความสะอาดและเรียบร้อย… ลองหันกลับมามองงานในคลังสินค้านั้น ก็มีงานประเภทนี้ให้ทำอยู่สม่ำเสมอนะครับ

.

สินค้าหลายประเภทเมื่อถูกวางไว้ที่ตำแหน่งพร้อมหยิบสินค้า (Pickface) นั้น เมื่อมีคำสั่งหยิบเข้ามาที่คลังแล้ว ก็ต้องถูกหยิบจ่ายไปตาม คำสั่งซื้อ (Order) ที่ได้รับหมอบหมายและจัดจ่าย ตามขั้นตอนการทำงาน แต่เมื่อเสร็จสิ้นงานแล้วนั้น ตำแหน่งพร้อมหยิบสินค้า (Pickface) นั้น จะไม่อยู่ในสภาพพร้อมหยิบอีกต่อไป เพราะขณะที่พนักงานหยิบ (Picker) หยิบสินค้านั้น ต้องทำงานภายในเวลาที่กำหนด….จะเทียบง่าย ๆ ให้ชัด ๆ ก็คงไม่พ้น การหยิบของที่ Hyper Market ทั้งหลาย เช่น การหยิบสินค้าที่ Big C, Tesco โดยมีชั้นวางสินค้า เป็น Pickface และ ผู้ซื้อสินค้า เป็น Picker นั้นเอง..

.

ผลของความไม่เรียบร้อยของ pickface นี้ ถ้าหากว่าเราไม่คอยจัดการให้เรียบร้อย ข้อมูลสินค้าคงคลัง อาจจะมีจำนวนที่ตรงแต่สินค้าอาจจะไม่ได้อยู่ในที่ที่ถูกต้อง หรือ Batch ของสินค้าอาจจะไม่ได้ถูกหยิบไปอย่างถูกต้องได้..ดังนั้น เรามีความจำเป็นที่ต้องจัดการ ตำแหน่งหยิบสินค้า หรือ Pickface ให้เรียบร้อยอยู่เสมอ ซึ่งการทำขั้นตอนนี้ไม่ต่างกับการจัดบ้านให้เรียบร้อยสวยงามเสมอ…จึงเรียกได้ว่า การจัดการบ้านนั่นเอง (Housekeeping)

.

การทำความสะอาดบ้านนั้น ยังต้องมีอุปกรณ์ แล้วการจัดการคลังหละจะใช้วิธีไหนดี…ก็ยังคงขอใช้หลักการพื้นฐานในการจัดการนะครับ อาจจะเก่า แต่ก็ยังเห็นว่าใช้งานได้ดีเสมอมาครับ..เครื่องมือนั้นคือ 5ส ครับ…

.

เริ่มต้นด้วย สะสาง -> สะดวก -> สะอาด -> สร้างลักษณะนิสัย -> ส่งเสริมให้ยั่งยืน… เหมือนจะง่ายนะครับ แต่ถ้าขาดการวางแผนที่ดี ก็ใช้งานไม่ง่ายเหมือนกันครับ.. ที่ญี่ปุ่นเองก็ใช้วิชานี้ในการจัดบ้านนะครับเป็นเล่นไป จัดกันจนกลายเป็นวิชาที่ใช้ในการจัดการเลยทีเดียว..แต่เครื่องมือชิ้นสำคัญที่สุดคงไม่พ้น “สะสาง” (Sorting) ให้ได้ก่อน ซึ่งในคลังสินค้าก็เช่นกันครับ ต้องจัดการแบ่งแยกความวุ่นวายและไม่ถูกต้องของ Inventory ให้เรียบร้อยก่อน แล้วก็ไปต่อกันที่ “สะดวก” (Set in Order) ที่จะต้องจัดเตรียมพื้นที่ให้สอดคล้องกับการหยิบใช้ที่ดี…”สะอาด” (Shine) ผมคงต้องใช้คำว่า ทำให้คลังดูสะอาดตา เห็นชัดเจนในสิ่งต่าง ๆ … “สร้างลักษณะนิสัย” (Standardize) อันนี้คำไทยกับคำภาษาอังกฤษ ต่างกัน แต่ผมว่ามันสื่อไปทางเดียวกับได้ ที่ว่า เมื่อจัดการทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น มันจะต้องถูกจัดทำให้เป็นขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจนขึ้นมาเป็นมาตรฐานที่ต้องทำร่วมกัน และพอเราไล่มาจนครบ 4 แล้วนั้น สิงสุดท้ายที่ต้องทำ คือ “ส่งเสริมให้ยั่งยืน” (Sustainability) คือการทำให้มีความต่อเนื่องไปเรื่อย..

.

เมื่อจัดการเสร็จสิ้นแล้วความเรียบร้อยที่เกิดขึ้นก็เป็นผลลัพธ์โดยตรง แต่สิ่งที่จะได้มาต่อจากนั้นคือ การทำงานที่ประหยัดเวลามากขึ้น ลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็นลง….แต่อย่างไรก็ตาม การจัดบ้านคนเดียวคงไม่สนุกฉันใด การจัดการความเรียบร้อยในคลังคงพึ่งพาคน ๆ เดียวไม่ได้..การร่วมมือลงแรงจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญมากต่อการทำให้เกิดความเรียบร้อยแบบยั่งยืน…

.

ลองรักคลังสินค้าของคุณดั่งบ้านของคุณ แล้วจะพบว่า..การจัดการคลังที่ดีมันไม่ได้ยากอย่างที่คิดครับ…