น้ำท่วมครั้งใหญ่ปี พ.ศ. 2554 (Flood in 2011)

.

ช่วงนี้มีฝนตกติดต่อกันหลายวันเหลือเกินทำให้หวนนึกถึง ครั้งหนึ่งของ “น้ำท่วม” ที่เกิดขึ้นใน ปี พ.ศ. 2554 นั้น บังเอิญเข้ามาในชีวิตของคนทำโรงงานและคลังสินค้าหลาย ๆ คนครับ วันนั้นฟ้าครึ้ม ฝนตกไม่หยุด ทั้งวัน ติดต่อกันนานมาก เริ่มมีข่าวว่าพื้นที่หลายพื้นที่เริ่มเข้าสู่ภาวะน้ำท่วมแล้ว ใครที่ไม่อยู่ในเส้นทางน้ำผ่านอาจจะเฉยๆ.. แต่ในครั้งนั้น ทางน้ำผ่านสุดท้ายคงไม่พ้น กทม เป็นแน่..แต่ก่อนหน้านั้น 7 นิคมก็ได้รับรู้รสชาติกันทั่วหน้าเลย..

.

ไม่ว่าจะวางแผนกันแค่ไหน ประเมินกันไว้ดีแล้ว ก็มีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่เตรียมตัวทันและสามารถป้องกันมวลน้ำไม่ให้เข้าไปยังโรงงานหรือคลังสินค้าได้…น้ำที่ท่วมทะลักเข้ามาไม่มีทีท่าว่าจะปราณีเลย…ไหลเข้าไปหมด…แล้วสุดท้าย ก็ไม่มีสิ่งใดเหลือ ประตูรั้วที่เคยต้องเปิดถึงจะเข้าได้ บัดนั้นไม่สามารถขว้างเรือพายได้อีกต่อไป…พายเข้าไปได้อย่างสะดวก.. รปภ จะต้องอยู่ด้วยอาหารประทังชีวิตที่มี เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของสินค้าภายในคลัง..

.

ส่วนคนที่เหลือ ก็ต้องไปหาที่แห้ง ๆ ไปลุยกันต่อ…เปิดคลังชั่วคราว เก็บสินค้าที่รออยู่ที่ท่าเรือ ความโกลาหลมากมายที่เกิดขึ้น ความต้องการขายของของลูกค้ายังคงอยู่อย่างคงทน (ทั้ง ๆ ที่ตอนน้ำท่วม กทมนั้น ไม่เห็นมีใครซื้อ ก็ขอให้เอาของเข้าห้างให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้..) ระบบต่าง ๆ ที่ต้องกู้คืนมาเพื่อให้สามารถทำงานกันต่อไปได้ คนงานที่ต้องจากบ้านไปทำงานที่อื่น ประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเจอกัน.. ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด..

.

แต่ลมฟ้าอากาศยังเมตตาแก่เรา..หยุดตก และรอให้น้ำระบายออกไปจากพื้นที่ท่วม มวลน้ำใจของประชาชน ด้วยความรักของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมองกาลไกลกว่าที่ใครจะมองจึงดำหริสร้างคลองลัดโพธิ์ขึ้น..น้ำได้ลดลง..ทุกอย่างที่ลอยน้ำ กองที่พื้น..จากสินค้าที่สร้างมูลค่ากลายเป็นกองขยะมหาศาล..ความเสียหายที่เกิดขึ้น ต้องทดแทนด้วยอุปกรณ์ใหม่ที่ต้องสั่งเข้ามา…ลูกค้าที่ยังต้องขายของ…ยังคงต้องการนำสินค้ากลับมาจัดจ่ายให้เร็วที่สุด…การย้ายถิ่นฐานกลับของพนักงาน…สุดที่จะบรรยายเป็นคำพูดได้..

.

การคิดนำเรื่องการหาแผนสำรอง (BCP : Business Contingency Plan) จึงกลายเป็นการรักษาแผลใจระยะยาวที่หลายๆลูกค้าต้องการ… แผนสำรองเหล่านี้คืออะไรบ้างสำหรับคลังสินค้า…มีทั้งการเรียนรู้ระบบบการพยากรณ์อากาศ อ่านระดับน้ำ การประเมินว่าจะย้ายสิ่งใดไป แหล่งที่พักและอุปกรณ์ใช้งานยามฉุกเฉิน คลังสินค้าที่ใหญ่เพียงพอ ตู้เก็บอุณหภูมิทุก ๆ ระดับอุณหภูมิ…และที่ขาดไม่ได้คือ การซ้อมเสมอจริงว่าเกิดภัยพิบัติขึ้น…

.

การจัดเตรียมไว้เสมอ หรือความไม่ประมาทนั้น เป็นสิ่งจำเป็น..ลองหันกลับไปตรวจสอบดูนะครับว่า คลังสินค้าของคุณมีเรื่องเหล่านี้จัดเตรียมไว้มากพอรึยัง…หากว่ายัง คิดเผื่อไว้ก้ไม่เสียหายนะครับ… อย่างน้อย ๆ เวลาเกิดเรื่องขึ้น จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีขึ้นครับ…

 

 

สินค้าถึงมือลูกค้าแล้วจบ จริงหรอ? (Are you sure? that is the end of work)

.

ไม่ว่าจะส่งแบบถึงมือด้วยการส่งตรงแบบ ไปรษณีย์ / ส่งด่วน หรือจะแบบส่งสินค้าไปยังร้านค้าต่างๆ หรือ โรงงานก็แล้วแต่นั้น เวลาที่ทำงานจริงนั้น ไม่เคยได้จบที่ส่งเรียบแล้ว และจากลามาเลยนะครับ เอาจริง ๆ หลาย ๆ คนคงเคยพบเจอกับปัญหานี้กันครับ สำหรับคนที่เรียน Logistics นั้น จะไม่ค่อยได้คำนึงในส่วนนี้เท่าไหร่ เพราะการเรียนนั้นอาจจะมองไปข้างหน้า หรือเดินทางเดียว และถึงแม้นว่าหนังสือเรียนก็ยังระบุว่า มีการย้อนระบบการจัดส่งสินค้า (Reverse Logistics) ก็เถอะครับ ที่เคยได้เจอ ๆ มา ผมเห็นกุมขมับกันทุกรายครับ..

.

มีกรณีศึกษาหนึ่งครับ เป็นสินค้ารองเท้ายี่ห้อหนึ่ง เค้าว่าถูกเสมอ นั้น เมื่อไม่นานมานี้ มีการคืนสินค้ากลับมาที่คลังสินค้าจากร้านค้า แต่อยู่ในภาวะที่ทีมงาน วุ่นวายมาก จึงมัวแต่สนใจเรื่องการจ่ายสินค้า จนลืมการจัดการกับสินค้าคืน (Return) นั้น ถุกละเลยจากคนที่ต้องดูแลสินค้าคงคลัง (Inventory Admin) เชื่อไหมครับ ด้วยผลจากการละเลยที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้จะต้องแก้ไข จัดแจงปรับปรุงการทำงานกันยกใหญ่ เพราะ….มีสินค้าที่ “หาไม่เจอ” มหาศาลครับ ทั้งหยิบสินค้าผิดที่ไปจ่าย ทั้งไม่ได้รับเข้าระบบ ส่งผลลูกโซ่ (ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่นะครับ อันนี้เจ้าหนี้ไม่มีหนีสักคน)…ไม่มั่นใจว่าทุกวันนี้แก้ไขได้แล้วหรือยังนะครับ แต่ผมจะมาขอเสนอวิธีการแก้ไขด้วยวิธีการทำงานทั่วไป แต่แก้ไขปัญหานี้ได้ครับ

.

วิธีการจัดการของคืนนะครับมีวิธีง่ายๆ ดังนี้ครับ

  1. ทำเดี๋ยวนี้ (Just Do It)– ทางคลังจะต้องไล่ตามเคลียร์สินค้าเหล่านี้เข้าคลังทันที เพื่อป้องกันปัญหาอีกมากมายเช่น การไล่อายุสินค้าก่อนหลังกับสินค้าในคลังที่มีอยู่ การแยกสินค้าเข้าพื้นที่จัดเก็บเฉพาะ (Quarantine Area/Location)
  2. ทำไม่ทันก็ชี้บ่งซะ (Identify) – ระบุเสมอครับว่า รับกลับมาเมื่อไหร่ จัดการกับสินค้าเหล่านี้ไปถึงไหนแล้ว และต้องบันทึกอะไรลงในระบบบ้างและระวังอย่าปล่อยให้ข้ามเดือน นะครับ แผนกบัญชี จะถามหา…
  3. ชี้บ่งแล้ว อย่าลืมมาไล่เคลียร์ (Follow up) – ห้ามพลาดนะครับ ตามซะ อย่าปล่อยให้แอดมินในคลังมาบอกว่า “ตามแล้ว ๆ ลูกค้ายังไม่ตอบ” เท่าที่เคยเจอมา ไม่พลาดครับ เดาไว้ได้เลยว่า ยังไมได้ตามแน่นอน ….พลาดแล้วไม่สนุกเชื่อผม

.

สินค้าที่ผมยกตัวอย่างมากนั้นอาจจะยังดูไม่ซับซ้อนนะครับ..แต่หากคุณลองคิดถึงสินค้าคืน เช่น กล่อง Router จาก ค่ายผู้ให้บริการอินเตอร์เนตแต่ละเจ้านั้น เจ้าของสินค้าจะต้องถูกตรวจสอบด้วยตัวแทนการตรวจบัญชี (Financial Auditing) ดังนั้น สินค้าแต่ละตัวที่มี Serial นั้น จะต้องย้อนกลับมาให้ครบถ้วน ลงกล่องที่ถูกต้อง….และหากไม่ครบเล่า เราจะทำอย่างไร จะต้องอ้างอิงยังไงให้ Auditor เชื่อว่า คืนมาจริงๆ แค่นี้ และจะลงบันทึกเข้าไปว่า สูญหายไปอีกเท่าไหร่ นะครับ หลาย ๆ คนอาจจะรำคาญเวลาที่ต้องโดนตรวจสอบ แต่เชื่อเถอะครับ การทำงานของคุณจะมีผลต่อเนื่องไปหาอีกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ..

.

หากคุณมีโอกาสนะครับ ลองดูมือถือในมือคุณนะครับ เวลาคุณไปเครม (Claim) เนี่ยะ…ไม่ง่ายเลยนะครับเชื่อผม พนักงานที่รับเรื่องของคุณถึงไม่ค่อยชอบทำเรื่อง Reverse logistics เท่าไหร่ครับ รวมทั้งปัจจุบันนั้นยังมีการคืนของจากระบบการค้าออนไลน์ (Ecommerce)…

.

ดังนั้น ขอยืมคำพูดของผู้ที่เคยสอนงานให้กับผมมาให้เป็นคำเตือนใจเสมอ ๆ กับตัวผมเอง และ ท่านผู้อ่านทั้งหลายว่า “อย่าหลุดมือ” (Don’t Lost Focus) มันอาจจะไม่ได้ใช้แค่ การไล่ตามงานคืนนะครับ แต่ผมเชื่อว่ามันกินใจความกว้างไปถึงการทำงานจริง ๆ ของเรา ๆ ในทุกงานครับ…

กระดูกสันหลังของคลังสินค้า (Warehouse Backbone)

.

การทำงานของคลังสินค้าในปัจจุบันนั้น คนภายนอกอาจจะมองแค่เพียงว่า เป็นที่รับ-เบิกจ่ายสินค้าไปยังปลายทางได้อย่างเป็นระบบ…แต่ใครเล่าจะรู้ว่า เบื้องหลังของความคล่องแคล่วว่องไวนั้นคลังสินค้าต้องทำงานกันมากมายแค่ไหนเพื่อเตรียมสินค้าจัดจ่ายให้ ถึงมือผู้บริโภค อย่าง ถูกต้อง สภาพดี ตรงต่อเวลา…

.

ดั่งร่างกายมนุษย์ของเรานั้น เวลาสมองคิดก็ต้องคิดแล้วส่งความคิดนั้นไปยังอวัยวะต่าง ๆ เพื่อทำงานให้เสร็จลุล่วง การรับคำสั่งจากสมองนั้น จึงเปรียบเสมือนความต้องการของลูกค้าที่ส่งมาให้เราทราบว่าต้องการสินค้าเท่าใดหรือวางแผนขายสินค้าไว้อย่างไร…แต่เมื่อเข้ามาแล้วนั้น ก็ต้องแปลคำสั่งเหล่านั้นและส่งต่อคำสั่งเหล่านั้นไปยังอวัยวะต่าง ๆ ร่างการมนุษย์มีโครงสร้างสำคัญคือกระดูกสันหลัง คลังสินค้านั้นก็มี ระบบการจัดการคลัง (WMS – Warehouse Management System) เป็นดั่งกระดูกสันหลังเช่นกัน

.

หลายคนมองข้ามและคิดเสมอว่า การจ่ายสินค้าไปยังปลายทางได้นั้นคือการสิ้นสุดการทำงานแล้ว โดย “หลายคน” ที่ว่านี้ก็มีพนักงานของคลังสินค้าเอง หรือแม้แต่ตัวผู้จัดการคลังสินค้าก็มีความคิดเช่นนั้นเหมือนกัน..ผลจากความคิดที่มองข้ามการทำงานตามระบบนั้น ก่อให้เกิดปัญหามากมาย เช่น สินค้า “หาย” หรือ “หาไม่เจอ” (ดังที่เคยได้กล่าวไว้ในบทก่อนหน้า)

.

ดังนั้นการรู้จักว่าระบบการจัดการคลังสินค้า (WMS) นั้นคืออะไร ก็เป็นเรื่องจำเป็นเรื่องนึงเลยนะครับ…ระบบการจัดการคลังสินค้ามีหลากหลายระบบมาก ๆ แล้วแต่บริษัทที่ให้บริการ มีตั้งแต่ระบบเก๊า…เก่า ไปยังระบบที่สามารถมองเห็นสินค้าทั่วทุกมุมโลกผ่านระบบ ๆ เดียวได้ แต่จากหลายบริษัทที่ผลิตนั้น อาจมีชุด ”คำสั่งที่แตกต่างกัน” แต่มี ”หลักการ” เดียวกัน (Different User interface same Logic) มาดูกันครับว่า หลัก ๆ แล้ว หลัการที่ว่ามันมีอะไรบ้าง

.

ง่าย ๆ ครับ เปรียบเทียบกับการสร้างอีเมล อาจจะทำให้คุณดูแล้วเข้าใจง่ายขึ้นไปเลยครับ….ลองนึกดูนะครับ อีเมล ต้องมีการระบุชื่อ, ที่อยู่, เบอร์ติดต่อ, แหล่งอ้างอิง, รวมทั้งตัวอีเมลก็บันทึกทุกความเคลื่อนไหวของจดหมายในอีเมลของคุณ ในระบบการจัดการคลังสินค้า ก็เช่นกันครับ ระบบจะต้องมีข้อมูลพื้นฐานของการจัดเก็บสินค้า (Master Data) เช่น

– รหัสสินค้า (SKU)

– ชื่อสินค้า (Product Description)

– รหัสผลิต (Lot / batch)

– วันที่ผลิต / วันหมดอายุ (Manufacturing date / Expiry date) เป็นต้น

และยังมีเรื่องการจัดการอื่นๆ เช่น อีเมลที่ส่งเข้าก็เปรียบได้ดั่งการรับสินค้า (Received) และการที่อีเมลที่ส่งออก ก็เปรียบได้ดั่งการจ่ายสินค้าออก (Dispatching/ Delivery) และอะไรคือ Inventory ของ อีเมลหละ ก็ง่าย ๆ ครับ “จดหมาย”ที่คุณรับและจ่ายออกนั้นเอง ความต่างมีเพียงแค่จดหมายนั้นเป็นของคุณ แต่ inventory นั้นเป็นของผู้ว่าจ้างเก็บสินค้านั่นเอง

.

การออกแบบและทำงานของระบบการจัดการคลังสินค้า (WMS) จึงมีแผนภาพง่าย ๆ ดังแสดงว่าในภาพแล้วนะครับ

สมการง่าย ๆ ครับ Master Data + Logic & Rule -> Procedure

โดยทั่วไปแล้วนั้นระบบจัดการคลังสินค้า (WMS) นั้นจะมีคำสั่งพื้นฐานมาอยู่แล้วนะครับ เหมือนมือถือที่มีคำสั่งโทรออก รับสาย รับข้อความ แต่การจะทำงานเพิ่มเติมในมือถือ เราโหลด App แต่ ใน WMS นั้น ขึ้นอยู่กับว่าโปรแกรมของบริษัทนั้น ๆ ยอมให้ปรับแต่งได้มากน้อยเท่าไหร่นะครับ

.

และผลลัพท์ของการใช้ระบบนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องการจัดการที่ถูกบันทึกและตรวจสอบ (Track and Traceability) ได้ แต่ยังไม่จบเพียงแค่นี้ ถ้ามองในมุมนึง มันคือข้อมูลมหาศาลที่ใช้ในการจัดการได้หลากหลายมากนะครับ เช่นการดึงรายงานมาวิเคราะห์การพัฒนาปรับปรุงการทำงาน หรือทำรายงานเพื่อทวนสอบกลับกับยอดกับรับส่งสินค้าจริงกับค้นทางและปลายทางเป็นต้น

.

ในปัจจุบันนี้ ความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับระบบการจัดการคลังสินค้าจึงเป็นความรู้ที่มีค่ามากในสายอาชีพนี้ อย่างที่บอกนะครับ ระบบอาจจะมีหลายบริษัทสร้างขึ้นมา แต่ก็ยังอยู่บนพื้นฐาน “หลักการ” เดียวกัน ดังนั้นหากมีโอกาสได้ข้องแวะ อย่าลืมไปลองดูนะครับ ว่าระบบคลังสินค้าที่คุณได้เล่นอยู่นั้น ทำงานยังไง และมีลูกเล่นอะไรเท่ห์บ้าง จะได้นำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์แก่งานของคุณครับ

ส่งเสร็จมันต้องแจ้ง.. (POD)

.

การจัดส่งสินค้าเสร็จสิ้นแล้วนั้น จะรู้ถึงคนอื่นได้อย่างไร ถ้าไม่บอก จริงไหมครับ ศัพท์ทั่วไป ๆ ที่เค้าใช้กันก็ POD (Proof of Delivery) นั่นเอง..โดยปกติขั้นตอนการทำงานก็ง่าย ๆ ครับ..ลูกค้าหรือปลายทางที่รับสินค้าจะได้รับเอกสารจากคนขับรถเสมอ..และก็ต้องเซ็นเมื่อรับสินค้าเสร็จสิ้น เพื่อยืนยันว่าได้รับสินค้าถุกต้องตามใบส่งสินค้า… โดยที่มักจะมีหลาย ๆ แบบเช่นแนบคำสั่งซื้อ  (PO) ไปด้วย เมื่อคนขับรถจะออกจากปลายทางก็จะรับเอกสารกลับมาด้วย และนำไปยืนยันกลับคลังและนำไปขึ้นค่าขนส่งกับผู้จ่าย..

.

แต่รู้ไหมครับ ไอ่การจะเซ็นชื่อเนี่ยะ มหากาพย์ เลยนะครับ ถ้าเป็นดังที่ได้กล่าวมา เราคงได้เอกสารยืนยันตั้งแต่วันถัดไปจากที่ส่ง…แต่ชีวิตจริงนั้น คนละเรื่องเลย..บางทีกว่าจะได้ ก็ 3-5 วัน อันนี้ยังดีนะครับ บางครั้งไปถึง 7 วันก็มีนะครับ (อันนี้เทียบกทม และปริมณฑลนะครับ) บางทีเจอเซอร์ไพร์อีกครับ…เอกสารหายครับ ไม่มีอะไรยืนยันอีก นอกจากลูกค้าปลายทางจะไม่โทรมา ตำหนิ (Complain) มันดูไม่ง่ายจริงไหมครับ..มากคนยิ่งมากความ..ด้วย

.

เมื่อเวลาผ่านไป…ระบบการสื่อสารท่ดีขึ้น ระบบการเชื่อมต่อข้อมูลดีขึ้น..ความเปลี่ยนแปลงก็เกิด จะเห็นชัด ๆ ก็ ไปรษณีย์ไทยครับ ที่เริ่มมีการนำเครื่องมือ PDA (Personal Digital Assistant) ใช้ ทั้งการยืนยันการส่งสินค้า, ทั้งให้ผู้รับสินค้าได้เซ็นชื่อที่เครื่องได้เลย รวมทั้งยังไม่ทิ้งเรื่องเอกสารเพื่อตรวจสอบระบบอีก…ในวงการคลังมีกันแทบจะทุกยี่ห้อแล้วนะครับ..ก้าวหน้าไปถึงขั้นลง App มือถือ ต้นทุนในค่าอุปกรณ์ลดลงทันที, เข้าถึงได้ง่าย, และผลที่ต้องการก็เกิดขึ้น ทั้งสามารถยืนยันด้วยการเลือกคำสั่ง, ภาพถ่ายหน้าบิล, ลายเซ็นของลูกค้า หรือ จะเป็นการแจ้งปัญหาในการจัดส่งก็สามารถเลือกได้ด้วย App ดังกล่าว…ไม่มีคงถือว่าเชยเข้าไปใหญ่…และปัจจุบัน ก็กำลังพัฒนาไปสู่การทำ App ที่แจ้งกันไปเลยว่าจะให้ไปรับจากไหน ส่งที่ไหน ใครเป็นคนรับ ยืนยันตัวกันได้เลยทีเดียว..

.

หากยังต้องใช้เอกสาร ระบบการขนส่งก็ยังใช้กันต่อไป..และระบบก็คงควบคู่กันไป…แต่ผมเชื่อว่าอีกไม่นาน ในประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ 4.0 แล้ว หากว่า การพัฒนายังคงมีอย่างต่อเนื่อง..การแทนที่เอกสารด้วยเครื่องมือเหล่านี้น่าจะมาถึงในอีกไม่นานแล้ว…

 

#WarehouseManagement, #POD, #ยืนยันการจัดส่ง, #PDA, #Complain, #Thailand4.0

จากของหายสู่การจัดการอย่างเป็นระบบ และใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย (From Lost to Systematic Controlling)

.

การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory) นั้น ถูกพัฒนาเรื่อย ๆ มา ด้วยวิธีการทำงานต่าง ๆ โดย วิธีการจัดการให้ความถูกต้องและแม่นยำของสินค้าคงคลัง (Inventory Accuracy) นั้นมีหลากหลายวิธี แต่ผมจะขอแบ่งเป็นขั้นตอนเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า การทำให้สินค้าคงคลังถูกต้องเสมอในทุกกระบวนการ ทำได้จริงหรือไม่

.

เมื่อสินค้ามาถึงคลังสินค้า หรือที่เรียกว่า สินค้าขาเข้า เป็นช่วงเวลาบาดใจมาก เพราะในมือของเรานั้น จะมีเพียง สายตา เอกสาร และตัวสินค้าเท่านั้น ที่จับต้องได้ หากมีการส่งข้อมูลล่วงหน้ามายังระบบจัดการภายในคลังสินค้า (interface to WMS) ก็ใช่ว่าจะช่วยให้สินค้าคงคลังตรงและถูกต้อง เพราะระบบ WMS ไม่มีลูกตา ดังนั้นในปัจจุบันนั้น หากไม่ได้ใช้ระบบที่ลงทุนมาก ๆ อย่าง RFID (Radio-frequency identification) ก็จะต้องพึ่งพาตัวเรานี่แหละเพื่อตรวจสอบ ซึ่งการทำให้ถูกต้องได้นั้น จะต้องนับทุกชิ้น (ในหลาย ๆ คลังสินค้า ผู้ซื้อตกลงกับผู้ขายเรื่องการคิดเงินคืน หรือ Claim เพื่อลดขั้นตอนในการทำงาน) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็จะต้องแลกมากับเวลาและแรงงานที่ต้องสูญเสียไป

.

กรณีที่สินค้าอยู่ภายในคลังหรือพื้นที่จัดเก็บที่เตรียมไว้แล้วนั้น การนับทุกวัน (Daily Cycle Count) ก็เป็นวิธีที่ใช้สำหรับตรวจสอบความผิดเพี้ยนของสินค้าคงคลัง (Stock Discrepancy) ที่อาจเกิดขึ้นได้

.

และเมื่อถึงการหยิบจ่ายออกไปนั้น การหยิบและจ่ายสินค้าตามใบคำสั่งหยิบ (Picking Slip) ทั้งในส่วนของตรงรหัสสินค้า (Correct SKU), ตรงวันผลิตสินค้า (Correct batch/lot) ตรงจำนวนที่ระบุให้หยิบ (Correct QTY) เป็นการทำให้สินค้าคงคลังถูกต้องการ ได้เหมือนกัน

.

จากขั้นตอนง่ายของการนำสินค้าเข้าคลัง การนำสินค้าออก และการตรวจสอบสินค้าในคลังนั้น มีส่วนช่วยทั้งสิ้นที่จะทำให้สินค้าคงคลังแม่นยำและถูกต้อง

.

ทุกวันนี้เล่า เขาทำกันอย่างไร….

มันก็ยังมีหลายแบบนะครับขึ้นอยู่กับต้นทุน ได้แก่

  • การใช้ Stock Card เพื่อตรวจสอบในพื้นที่จัดเก็บนั้น ๆ ว่าสินค้าตรงกับจำนวนที่ระบุใน Stock Card หรือไม่
  • การใช้ RDT (Radio Data Terminal) เพื่อเป็นการยืนยันแบบทันทีในระบบ อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าระบบ WMS ของคุณนั้นสามารถ วางแผน, รองรับ, ระบุ, ตรวจสอบ ได้ดีแค่ไหน เพื่อชี้แจงตำแหน่งของสินค้า, การเคลื่อนไหวของสินค้า, การทวนสอบต่าง ๆ ระหว่างข้อมูลหลายหลากบนสินค้านั้น เป็นต้น
  • การใช้ RFID (Radio-frequency identification) นั้น ถือว่าค่อนข้างง่ายเลย เพราะบนสินค้าจะมีระบุตัวสะท้อนสัญญาณที่ออกมาเป็นรหัสที่ระบุไว้บนแต่ละชิ้นสินค้า (ลองดูตัวอย่างง่าย ๆ ได้ที่ร้านหนังสือหรือห้างสรรพสินค้าที่มีเครืองตรวจจับเวลามีขโมย ขโมยหนังสือออกจากร้านนะครับ)

แต่โดยรวมแล้ว ผลของการนับสินค้าคงคลังก็จะเพียงต้องการผลคือ “สินค้าอยู่ถูกที่ไหม”, “จำนวนตรงหรือไม่”, “รหัสผลิตตรงไหม”

.

ดังนั้นการทำให้สินค้าคงคลังตรงและถูกต้องนั้น มี “หลากหลายวิธีการ” ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่อยู่บน “หลักการเดียว” เท่านั้น คือ ทำอย่างไรให้เรารู้ว่าสินค้าเคลื่อนไหวไปที่ไหน และจะต้องหาเจอเสมอ รวมทั้งสอบกลับได้อย่างชัดเจน (Trackable and Traceability)

.

ของในบ้านเราก็ไม่ต่างกันนะครับ แต่แค่เราใช้วิธีนึก ไม่ได้ใช้ระบบเท่านั้น!

แผนการจัดรถ (Truck Plan)

ส่วนใหญ่คนคลังมักมองข้ามแผนการจัดรถขนส่ง ทำงานไปก็ไม่ได้คิดอะไร แค่หยิบสินค้าให้เสร็จตามกำหนดที่ตกลงเป็นจบ..แต่เมื่อเราก้าวข้ามระดับการทำงานที่เพียงมองแค่งานของตัวเอง จะรู้ว่า ไม้ที่เรารับมาและจะส่งต่อไปนั้นสำคัญมากครับ..

.

ไม้จากทีมคลังนั้น จะส่งมอบไปยังทีมขนส่งเพื่อจัดส่งไปยังร้านค้า…มองจากอีกมุมแล้ว เผลอ ๆ ทีมขนส่งนี่จะดูสำคัญกว่าทีมงานคลังด้วยซ้ำ แต่ในที่นี้ ผมมองในมุมลูกค้านะครับ..ทุกทีมสำคัญหมดนะครับ เพราะสินค้าจะถึงมือของลูกค้าได้นั้น ต้องร่วมมือร่วมใจกันทำครับ..

.

คราวนี้มาดูกันครับว่าเวลาทำงานนั้นเขาวางแผนกันด้วยวิธีคิดหลายวิธี เช่น การเอาปริมาตร (CBM) ของสินค้าที่จะจัดส่ง เทียบกับ CBM ของรถที่ใช้ในการจัดส่ง (CBM คือ Cubic Meter หรือ ลูกบากศ์เมตร) หรือจะใช้จำนวนกล่องในการประมาณ หรือจะเหนือกว่านั้น ก็ใช้โปรแกรม ลองเรียงของในรถเลยครับ ตามเกณฑ์น้ำหนักและความกว้างยาวสูง (Weight and Dimension) มีหลากหลายวิธีมากนะครับ….และที่ใช้กันประจำก็ ประมาณตามงานแต่ละวันครับ …(ล้อเล่นนะครับ)

.

แต่ก่อนจะไปประมาณจำนวนรถที่จะใช้นั้น ยังมีอีกเรื่องครับ..คือ ต้องไปดูว่า ร้านแต่ละร้านที่จะรับสินค้า รับกี่โมง มีกี่ร้านที่รับวันเดียวกัน..ใช้เวลาในการรับแต่ละร้านนานเท่าไหร่..ร้านต่อร้าน จะไกลแค่ไหน..เยอะแยะมากนะครับ ประมาทไม่ได้เชียว…และเมื่อประเมินเวลาและจำนวนรถที่ขึ้นงานได้แล้วนั้น ผู้ออกแบบส่วนใหญ่จะต้องคิดว่า ใช้เวลาในการลงของเท่าไหร่ และจะมีกี่ประตูดี…ไม่ใช่เล่นเลยนะครับ กับแค่การวางแผนรถขนส่ง…

.

ความร่วมมือที่ดีที่ทำให้การวางแผนรถเป็นไปได้ด้วยดีนั้น..หากบริษัทไหนมีระบบการจัดวางสินค้าหรือวางแผนนั้น การวัดขนาดกล่องสินค้า และน้ำหนักเป็นปัจจัยสำคัญมากนะครับ ยิ่งมีข้อมูลพวกนี้มากเท่าไหร่นั้น ความแม่นยำ ในการวางแผนจะดีขึ้น รวมทั้งทำให้เกิดประสิทธิผลในการจัดการรายจ่ายในส่วนขนส่งที่เหมาะสมมาก ๆ ครับ..

.

มองกลับมาที่ทีมคลัง เป็นยังไงบ้างครับ เราคงต้องตั้งคำถามว่า เราจะช่วยอะไรให้ทีมขนส่งสามารถทำงานได้ดีบ้าง…อย่างน้อย ๆ ก็หาข้อมูลของสินค้าที่ถูกต้องและรีบส่งมอบข้อมูลให้แกทีมขนส่งนะครับ หรืออย่างน้อยหากการประมาณช่วยได้ ก็จัดไปครับ ทีมงานทำงานได้ไว อะไร ๆ ก็ง่ายขึ้นครับ…

หาย หรือ หาไม่เจอ (Lost or Not Found) ในคลังสินค้านั้น มันสำคัญยังไง…

.

เรามารู้จักกันก่อนครับว่า สินค้าภายในคลังสินค้า (inventory) คือ สินค้าที่จะถูกนำไปจัดจ่ายหรือจำหน่ายสู่ท้องตลาด โดยสินค้านี้อาจถูกเก็บในคลังสินค้าของผู้ผลิต หรือคลังสินค้าของผู้ให้บริการ (3PLs – 3rd Party Logistics Service Provider)

.

แล้วสินค้าคงคลัง (inventory) เหล่านี้ สำคัญไฉน ก็คงบอกได้ง่าย ๆ ว่า ในมุมมองของแผนกที่แทบจะมีอิทธิพลที่สุดในองค์กร อันได้แก่ แผนก “บัญชี” แล้ว มันคือเม็ดเงินที่ลงทุนไปและรอคอยผลกำไรที่จะกลับมาคืนเข้าสู่องค์กรนั่นเอง สินค้าคงคลังจึงเป็นดั่งหัวใจขององค์กร ทุกความเสียหายและสูญหาย คือ ความสูญเสียทีเกิดกับองค์กรทั้งนั้น

.

ในภาษาเด็กคลังจะมีคำพูดติดปากว่า หาของไม่เจอ หรือ ของหาย กันบ่อยมาก มันเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า ในเมื่อเก็บเองกับมือ…

.

ผมจะขอเข้าสู่ตัวอย่างที่ชัดเจนแล้วกันนะครับ เพื่อให้เห็นภาพไปพร้อม ๆ กัน…

.

กรณีที่ผมยกนั้นคือ คลังสินค้าคลังนึง ที่รับบริการจัดเก็บและจัดจ่าย แก่ลูกค้าของผู้ว่าจ้าง อีกทีนึง โดยสินค้านั้นคือ “ยา” ที่ใช้สำหรับโรงพยาบาลและร้านค้า (ผมยกเคสที่สาหัสนิดนึงนะครับจะได้เห็นภาพกันชัดๆไปเลย)

.

มันเริ่มต้นเมื่อ หลายสิบปีที่แล้ว 3PLs เจ้าหนึ่งชนะการประมูล (Bidding) เพื่อ ให้บริการแก่ผู้ว่าจ้างในการจัดเก็บสินค้า จึงเริ่มจัดเตรียมพื้นที่และจัดเก็บสินค้าตามหลักการของคลังสินค้าในยุคนั้น มีทั้ง Location และระบบ WMS (Warehouse Management System) และสอนการขั้นตอนการทำงานภายในคลังให้แก่พนักงาน (Training) ได้อย่างครบถ้วน และเมื่อวันนั้นมาถึงสินค้าได้ถูกลำเลียงเข้าสู่คลังสินค้า (Stock Migration) และพนักงานเริ่มทำงานตามขั้นตอนที่ได้ร่ำเรียนมา อย่างรวดเร็ว ในตอนแรกนั้น ที่โล่ง ๆ มันก็ดูง่ายในการจัดเก็บ แต่เมื่อรถขนสินค้าคันถัดไป เข้ามาเรื่อย ๆ การจัดเก็บเริ่มไม่ง่าย พนักงานแต่ละคนต้องคิดและจัดเก็บ แต่หลายคนก็หลายความคิด การจัดเก็บที่ว่องไวจึงเกิดขึ้น พนักงานจัดเก็บสินค้าจนหมดสิ้นในแต่ละวัน

.

เมื่อสินค้าเข้าย่อมต้องจ่ายสินค้าออก (Outbound) ระหว่างที่มีการลำเลียงสินค้าเข้านั้น พนักงานธุรการ (Admin) ก็ได้รับคำสั่งจ่ายสินค้าจากผู้ว่าจ้าง และได้จัดเตรียมใบหยิบสินค้าเสร็จสิ้น (Picking Slip) ยื่นส่งแก่พนักงานหยิบสินค้า (Picker) และพนักงานหยิบสินค้าได้เข้าสู่คลังเพื่อไปหยิบสินค้า ให้หลังไปเพียงไม่นาที พนักงานหยิบสินค้ากลับมายังฝ่ายธุรการคลังอย่างเร่งรีบ และแจ้งว่า “หาของไม่เจอ” เพียงคำสั้น ๆ นี้อาจจะดูไม่น่าตกใจนะครับ ก็แค่ “หาของไม่เจอ” หรือ “ของหาย” และหัวหน้างานได้เข้าช่วยแก้ไขด้วยการสั่งงานหาสินค้าเพื่อจ่าย….หากแต่ยังคงหาสินค้าที่รหัสผลิต (Lot/Batch) ดังกล่าวไม่เจอ ปัญหาถัดไปจึงเริ่มเข้ามา เมื่อจัดส่งได้ไม่ทันเวลา ลูกค้าของผู้ว่าจ้างจึงเริ่มติดต่อมาเอง นั่นคือสัญญาณร้ายแล้ว เนื่องจากลูกค้าของผู้ว่าจ้างนั้น เป็น โรงพยาบาล และมีผู้ช่วยที่ต้องการใช้ยารออยู่…..สินค้าที่หาไม่เจอ หรือสินค้าหายนั้น ไม่ได้เกี่ยวแค่เรื่องเงินเสียแล้ว แต่เป็นเรื่องของชีวิตของคนไข้เสียแล้ว……

.

เป็นยังไงบ้างครับ ความร้ายแรงของ การ “หาของไม่เจอ” หรือ “ของหาย” ที่เด็กคลังเรียกกัน….

.

ผมมาเล่าเรื่องต่อดีกว่าครับ ในวิกฤตนั้น ไม่ได้แก้ง่าย ๆ เลยเพราะจะต้องระดมพนักงานเท่าที่มีหาของให้เจอ รวมทั้งต้องจัดเตรียมสินค้า วันแล้ววันเล่า “หาของไม่เจอ” หรือ “ของหาย” มันช่างกัดกินพลังงานและพลังความคิดในสมองของเรามาก ๆ ผลสุดท้ายคลังสินค้านั้น จึงต้องทำงาน 2 อย่างไปพร้อมกัน คือ การหาสินค้าเพื่อให้ส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าของผู้ว่าจ้างแบบรายวัน และยังต้องแบ่งคนอีกส่วนนึงในการจัดสินค้าคงคลังให้อยู่ถูกต้องทั้งระบบและสินค้าจริง…ลองจินตนาการดูนะครับสินค้ากว่า 10,000 พาเลท จะต้องตรวจสอบ-จัดเรียง-จัดจ่าย แทบจะตลอดเวลานั้น กว่าจะครบถ้วนและจัดการได้เรียบร้อยนั้น ต้องใช้เวลาเท่าไหร่…ที่คลังนี้จัดการปัญหาด้วยความพยายามของทีมงานและใจที่สู้สุดแรงนั้น พวกเขาใช้เวลาถึง

“6 เดือน”…

ลองจินตนาการต่อนะครับว่า ผู้ที่รับผิดชอบในคลังสินค้านี้หรือผู้ที่เกี่ยวข้องนั้น จะต้องใช้แรงและความพยายามขนาดนั้น

“หาของไม่เจอ” หรือ “ของหาย” นั้นจึงเป็นปัญหาสำคัญ ที่จะต้องระวังป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาดในคลังสินค้า

.

ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร….

  • การจัดเก็บสินค้าที่ไม่เรียบร้อย
  • การหยิบจ่ายที่ไม่ตรงตามขั้นตอนและระบบ
  • การรับคืนสืนค้าที่ไม่จัดการในทันที
  • การนับสินค้าที่ไม่ซื่อสัตย์
  • การไม่บันทึกการจัดเก็บสินค้าเสียหายในทันที

เป็นต้น

.

หากคุณกำลังเรียนหรือเริ่มเข้าสู่การทำงานคลังสินค้านั้น โปรดระวังในส่วนนี้ให้ดีนะครับ เพราะมันอาจเป็นมัจจุราชร้าย สำหรับคนไข้ ได้เลยทีเดียว….

คลังสินค้าคืออะไร…(What warehouse is?)

.

ถ้าตามหนังสือ คงจะต้องบอกว่า ที่จัดเก็บสินค้าเพื่อจัดจำหน่ายจ่ายแก่ปลายทางที่ต้องการ แต่ผมคิดว่า ผมอยากจะอธิบายให้ลึกและเข้าใจง่าย พร้อมทั้งให้เห็นถึงความสำคัญของคลังสินค้านะครับ..

.

จริง ๆ แล้วเวลาเราจะจัดส่งสินค้าไปหาร้านค้าหรือปลายทาง ถ้าลองจินตนาการไปในอดีต จะพบว่า โรงงานเองนั้น ก็ส่งสินค้าไปยังร้านค้าโดยตรงเนื่องจากปริมาณการค้าขายที่มีจำนวนไม่มาก แต่ด้วยปริมาณความเจริญที่เพิ่มขึ้น เวลาที่จำกัด พื้นที่ที่ลดลงของร้าน การจัดส่งสินค้าด้วยวิธีเดิม ๆ ก็ค่อนข้างจะตอบสนองได้ยาก รวมทั้งผู้เล่นรายใหญ่ที่ส่งสินค้าให้ร้านก็มีปริมาณมากขึ้นตามความเจริญของสภาพเศรษฐกิจครับ.. เมื่อจำจะต้องส่งของให้ถึงมือลูกค้าให้ตรงเวลา หรือส่งเข้าโรงงานให้สอดคล้องกับสายการผลิตนั้น..การจะผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการ จึงเป็นโจทย์ที่ยากมากสำหรับผู้หลิตหรือนำเข้าทั้งหลาย ดังนั้นจึงต้องมีช่องว่างระหว่างกันให้พอหมุนนั่นนี่ไปมาและจัดส่งได้ด้วย…ก็เลยเอาสินค้าเข้ามาเก็บไว้ในคลังก่อน…

.

คลังก็มีหลายแบบนะครับ ทั้งคลังสินค้า เก็บอาหาร เครื่องอุปโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร ของแช่แข็งทั้งหลาย…จะเก็บสั้นๆแล้วรีบกระจาย หรือจะเก็บไว้เป็นปี แล้วค่อยๆ กระจายออกไป..แต่ที่สำคัญคือการวางแผน..ว่าสินค้าจะอยู่นานแค่ไหน หรือสินค้ากระจายยังไง..

.

ขั้นตอนในการทำงานของคลังหละมีอะไรบ้าง..หลัก ๆ หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่า รับสินค้าเข้า และจ่ายสินค้าออก…แต่ยังมีอีกครับ..ทั้งการรับสินค้าคืน คัดแยกสินค้า ติดสติ๊กเกอร์ตามความต้องการของลูกค้า จัดกะเช้าของขวัญวันปีใหม่ กะจุ๊กกะจีก ทั้งหลาย..ทำกันหมดทุกอย่าง เพราะจะปล่อยในสินค้ามาอยู่เฉย ๆ ก้ดูจะเสียเวลาเปล่า ๆ ไป…

.

ทุกอย่างก็ดูจะเรียบง่าย จริง ๆ ก็คือการเอางานบางส่วนออกจากการผลิตมาทำ ทั้งการจัดเก็บและการเพิ่มมูลค่า (Value Added Service) แต่มีคำพูดของผู้บริหารชื่อดังของไปรษณีย์เยอรมัน ท่านกล่าวไว้ว่า ในอนาคต ธุรกิจคลังสินค้าจะหายไปจากระบบการจัดส่ง…ฟังแล้ว ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้นะครับ มันก็พอจะมีสัญญาณให้เห็นในช่วงเวลาที่ท่านพูดอยู่ เช่น การที่โรงงานเริ่มลดกำลังการผลิตเนื่องจาก ความแม่นยำในการวางแผนการขายที่แม่นยำขึ้น, การเกิดขึ้นของผู้ประกอบการรายย่อย..เป็นต้น…

.

แต่เท่าที่สังเกตโลกก็ไม่เคยหยุดหมุนเช่นเคยครับ..การแพร่กระจายและเข้าถึงของเวบ Alibaba  นั้น ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไม่เว้นแม้แต่คลังสินค้า..ก็ถูกเปลี่ยนรูปแบบไปพอควรเลยครับ เช่น เน้นการถ่ายผ่านสินค้าไปยังปลายทางอย่างรวดเร็วขึ้น..ความพร้อมที่จะขึ้นลงสินค้าให้แก่รถขนส่งแต่ละประเภท ผู้เล่นหลักในตลาดก็เปลี่ยนไป..จากคำพูดของผู้บริหารไปรษณีย์เยอรมันนะครับ..ผมว่า คลังสินค้าก็ยังคงมีอยู่ แต่ว่าการรองรับความต้องการคงเปลี่ยนไปแบบที่เราเองก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน…

.

การทำงานในสายนี้มันก็แปลกนะครับ ไม่เน้นเป็นหุ่นยนต์ซะทีเดียว แต่เน้นพลิกแพลงให้สามารถจัดการสินค้าได้..คนคิดเอาตรงนี้มาทำเงินได้..เป็นการขายการเคลื่อนไหล (Transaction) ล้วน ๆ จริง ๆ ครับ จนมีคำติดปากว่า จับเสือมือเปล่าครับ..แต่เชื่อเถอะครับ ปืนกระสุน กับดักใช้หมดเลยครับ ใช้มือเปล่าคงจับไม่ไหว…555

.

เหมือนเรื่องเล่าไปเรื่อย ๆ นะครับ แต่แค่อยากมาเล่าให้อ่านดูครับ ว่ามุมมองของผมเป็นแบบนี้ มุมมองของคุณหละ มองคลังสินค้าเป็นยังไงในตอนนี้ ต่างวาระ ต่างภาพที่มองเห็น..

 

ราคาของความซื่อสัตย์ (The Price of Honest)

.

ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่ง..กับคนสองคน

ก : “ไง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”

ข : “สวัสดีครับ คุณ เป็นยังไงบ้างครับ”

ก : “ก็สบายดีนะ แล้วคุณหละ สบายดีไหม”

ข : “ก็ดีครับ คุณสั่งอาหารแล้วหรือยังครับ”

ก : “ผมสั่งแล้ว คุณสั่งเลย เดี๋ยวมากินด้วยกัน”

เมื่ออาหารในจานเริ่มเข้าปาก ก็ทำให้ทั้งสองคนนึกถึงวันเก่าที่เคยทำงานร่วมกันมา

ก : “คุณยังจะได้ไหมที่เราพบกันครั้งแรก..”

ข : “จำได้ครับ..ตอนนั้นผมเพิ่งเริ่มงานจากเด็กรายวันอยู่เลยครับ…”

ก : “ผมก็จำได้เหมือนกันนะ มันเป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าคุณก็เหมือนพนักงานรายวันทั่วไป..แต่ไม่จริงเลย คุณมีความขยันที่มากกว่าคนอื่นๆมาก..จนกระทั้งผมทำให้คุณกลายเป็นพนักงานประจำ รับสวัสดิการของพนักงานประจำ”

ข : “แต่แหมครับกว่าจะผ่านได้ ผมทำงานมากว่า 10 เดือนเลยนะครับ มันไม่ง่ายเลย”

ก : “นั่นสิ…มันไม่ง่ายเลย แต่คุณฉายแววจริง ๆ เด็กประจำที่มีอยู่ยังไม่ตั้งใจทำงานเท่าคุณเลย หรือว่า จริง ๆ คุณอาจจะแค่ทำงานให้ดีเพื่อทำให้คุณได้บรรจุก็ไม่รู้หนะ”

ข : “อะไรกันครับ (ติดตลก) ผมก็อยากมีชีวิตที่ดีนะครับ”

ก : “ผมล้อเล่นน่า…แต่เสียดายนะครับ วันเวลาผ่านไปแล้ว ผมอาจจะได้แค่ช่วยคุณด้วยการแนะนำให้คุณทำงานอย่างที่เคยทำ และพัฒนาต่อไปจนคุณไปเป็นหัวหน้างานได้..ผมต้องออกมาจากตรงนั้นก่อนคุณ ถึงทำให้ไม่มีเวลาดูแลคุณจนคุณต้องกลายเป็นแบบนี้..”

ข : “อย่าพูดถึงมันเลยครับ ผมก็เสียใจจนถึงทุกวันนี้”

บรรยายกาศจากความคุ้นเคย กลายเป็นความตึงเครียดแทน

ก : “จะว่าเคืองก็เคืองนะ ผมอุตส่าห์ ให้ความรู้และสอนคุณทุกอย่างเท่าที่เวลาผมจะมี เพื่อให้คุณเป็นกำลังของทีมงานต่อไป รวมทั้งอนาคตของคุณด้วย”

ข : “ผมเข้าใจครับ แต่ครั้งนั้นไม่ได้มีผมคนเดียวนะครับที่ทำ”

ก : “แล้วมันเกี่ยวกันไหมหละ ถ้าหากว่าคุณไม่ทำซะอย่าง มันจะเกิดเรื่องได้ยังไง คุณรู้ไหม วันที่เกิดเรื่อง มันมีเรื่องอีกเรื่องซ้อนกันอยู่…”

ข : “เรื่องอะไรหรอครับ..”

ก : “ผมได้รู้ข่าวมาว่า คุณกำลังจะได้เลื่อนขั้น..เป็นระดับหัวหน้างานจริง ๆ แล้ว เปลี่ยนสีเสื้อด้วยซ้ำ…”

ข : “จริงหรอครับ!”  สีหน้าตกใจของชายหนุ่ม ไม่อาจปิดบังความรู้สึกดีใจที่ปนไปกับความผิดหวัง ได้เลย

ก : “แต่เรื่องที่พวกคุณทำไว้ มันเกิดเป็นคดีความขึ้นมาจนได้.. “

ข : “….”

ก : “ผมบอกคุณแล้วใช่ไหม ว่า…ถ้าลูกค้าไม่ยัดของเข้ามาในมือ “ห้ามรับ!”… ต่อให้ยื่นมากับมือ ยังต้องชั่งใจเลยว่าจะรับดีไหม”

ข : “จำได้ครับ……” เสียงอ่อยของชายหนุ่มที่ให้คู่สนทนารู้เลยว่า เขาเสียใจอย่างมาก

ก : “คุณจำได้ไหม คุณเคยบอกกับผม ว่าอยากให้ลูกเห็นคุณในวันที่เขาโตว่าคุณเจริญก้าวหน้าในชีวิตการงานขนาดไหน…”

ข : “ครับ…”

ก : “แต่คุณทำมันพังเพราะเพียงของที่ไม่มีมูลค่าเลยแม้นแต่นิดเดียว”

ข : “…แต่มันเป็นของที่ลูกค้าคืนมาแล้วนะครับ ไม่มีมูลค่าและรอไปทำลายทิ้งแล้วนะครับ.. คนอื่นก็ทำกัน ทำไมผมถึงโดนคนเดียวหละ”

ก : “คุณรู้ได้ยังไงว่า คนอื่นไม่โดน…แต่สุดท้าย “ต้นคิด” ก็ลอยนวลไปไง คุณคือ “แพะรับบาป” ในที่สุด…”

ข : “…ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นครับ…”

ก : “อย่างที่พี่ผู้จัดการคนก่อนเคยสอนพวกเราไง… ถ้า “ขอ” เท่ากับ -1 ถ้า “ทำได้ดี” เสมอตัว..ถ้า “มอบสิ่งที่เหนือคาดให้ลูกค้า” จะได้ +1 คุณจำได้ไหม.. แต่นี่คุณทำแบบนี้ มันใช่แล้วหรอ ไม่มีทั้ง ลบ ศูนย์ บวก เลย แต่มันเรียกว่า ผิดเลย..”

ข : “…”

ก : “เอาเถอะ ยังไงเรื่องราวมันผ่านไปแล้ว คุณก็ได้รับผลนั้นไปแล้ว ผมหวังแค่ว่า คุณจะจำไว้นะ ว่า… “หากมิอยากให้ใครรู้ก็มิพึงกระทำ” …อันนี้ผมได้จากโกวเล้งเลย…โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่เสียอนาคตไปมากกว่านี้”

ข : “ครับ…”

แล้วชายหนุ่มที่เอาแต่พูดก็ยื่นหนังสือเล่มหนึ่งในแก่ชายหนุ่มผู้เสียใจในอดีต
ข : “นี่มันหนังสืออะไรครับ…. “คนไทยฉลาดการเงิน” มันเอาไปทำอะไรครับ..”

ก : “ชื่อมันก็บอกอยู่แล้ว คุณลองอ่านดูแล้วกันนะครับ แล้วมีโอกาส อย่าลืมไปดูคลิปใน ยูทูป “มูลนิธิคนไทยฉลาดการเงิน” นะครับ มันช่วยคุณได้จริง ๆ อย่างน้อยก็เลิกฟุ้งซ่าน และจะมีแนวทางชัดเจน ชีวิตคุณอาจจะไม่ได้ไปถึงฝันในช่วงเวลานี้ แต่อนาคตคุณจะดีขึ้นได้ ถ้าเข้าใจหลักการ และวางตัวใหม่…ไม่มีอะไรสายเกินแก้นะ ลองดู มีอะไรโทรมาหาผมได้เสมอนะ เงินไม่มีให้ เลี้ยงข้าวได้ แนะนำได้ ฮ่าๆๆๆ”

ข : “ฮ่าๆๆๆ ดีครับ ผมจะรีบศึกษาแล้วติดตรงไหนมาถามนะครับ”

ก : “ผมรอคุณอยู่นะ…เสียดายความสามารถจริง ๆ ถ้าวันนั้น คุณไม่ทำเรื่องนั้นหละก็ ป่านนี้เราใส่เสื้อสีเดียวกันไปแล้ว…”

ข : “ครับ ผมผิดหวังในตัวเองมากครับ ทุกวันนี้ผมต้องไปเป็นเด็กรายวัน ไม่รู้ว่าจะมีนยแบบคุณอีกไหม…”

ก : “ถือว่าผมทำบุญแล้วกัน ใช่ว่าผมจะเอาตัวรอดได้ดีกว่าคุณสักเท่าไหร่ เป็นหัวหน้างาน ก็ต้องทำงานมากขึ้น รับผิดชอบมากขึ้น ก็ไม่มีเวลาส่วนตัวเท่าเดิม ความเครียดเพิ่ม บางทีเป็นอย่างที่คุณเป็นอาจจะดีก็ได้นะ ผมมาคิด ๆ เลยคิดว่า ถ้าคุณรู้เรื่องการเงินต่อให้คุณมารายได้เป็นรายวัน แต่ถ้าวางแผนดี ๆ ก็ไปต่อได้นะ..”

ข : “ขอบคุณครับ”

อาหารบนโต๊ะหมดแล้ว แต่บทสนทนายังคงดำเนินต่อไป…

.

หวังว่า “เรื่องราว” นี้ จะช่วยให้พอนึกภาพออกแบบชัด ๆ นะครับ ว่า “ความซื่อสัตย์” จริง ๆ แล้วไม่ได้ชัดเจนอะไรมาก จับต้องไม่ได้ แต่มันผลักดันคุณได้ดีทีเดียว…ที่สำคัญเรื่องนี้  Base on True Story นะครับ..แต่มันยังคงเป็นวัฏจักรที่ไม่มีวันจน เกิดขึ้นแล้วและก็ยังจะมีเกิดขึ้นมาอีก

.

กระต่ายกับเต่า (Rabbit vs Turtle)

.

ทุกวันนี้ เราคงได้ยินชื่อ Kerry Express เป็นเจ้าขนส่งหลัก ๆ สำหรับส่งจากบุคคลถึงบุคคล หรือเรียกว่า พัสดุ (Parcel) นั่นเอง..แล้ว Kerry Express ทำงานกันยังไง ในส่วนของคลังสินค้า ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า การให้ระบบช่วยเหลือในการจัดระเบียบในแต่ละวันตามความเร่งรีบ..จัดเส้นทางการจัดส่ง แล้วพนักงานก็จัดเรียงสินค้าตามความเร่งด้วยนั้น โดนวิธีคิดง่ายๆ คือ ทำยังไงให้สินค้าที่ฝากส่งทั้งหลายนี้หมดจากคลังโดยที่ไม่มีอะไรตกหล่น…วิธีการที่รับสินค้ามาและวจัดส่งเลยโดยไม่ต้องมานั่งจัดการ มันจะเรียกว่า Flow Thru Model (กิจกรรมหลัก ๆ คือการรับและส่งต่อ)

.

ลองมองย้อนกลับไปนะครับ..ในประเทศเรามีกิจการที่คล้าย ๆ กับแบบนี้อยู่นะครับ เรียกว่า “ไปรษณีย์ไทย” (Thaipost) ซึ่งรูปแบบการจัดการไม่แตกต่างกันนะครับ รวมทั้งมีโครงข่ายที่ใหญ่มากรองรับแทบจะทุกอณูของประเทศไทยทั้งของสถานีของไปรษณีย์ไทยเอง และ เคาท์เตอร์ต่าง ๆ ที่ให้บริการเสมอมีไปรษณีย์ไทยอยู่ใกล้ตัวคุณ ..หากแต่ระยะเวลาที่ผ่านมากลับเกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงสั้น ๆ นี้ค่อนข้างเยอะ เช่น การมีคู่แข่งอย่าง Kerry Express หรือ การแบ่งทีมงานของตัวเองออกไปสร้างกิจการใหม่อย่าง THPD Logistics ซึ่งเป็นการทำงานแบบ B-to-B (Business to Business) ซึ่งลูกค้าก็มีแบบรัฐวิสาหกิจ และเอกชน แต่การเติบโตของกิจการยังไม่อยู่ในสัดส่วนที่ชัดเจน…ต้องมาดูกันต่อไปว่า ภาพรวมของกิจการไปรษณีย์นั้น จะดีขึ้นแบบพุ่งทะยานหรือเพียงค่อย ๆ โตอย่างที่ผ่านมา…

.

ในมุมกลับ ก่อนที่ Kerry Express จะมาขยายใหญ่แบบนี้นั้น Kerry ก็มีบริษัท Logistics (B-to-B) เหมือนกับเจ้าอื่น ๆ แต่ก็มีภาวะที่กดตัวลดเมื่อเทียบกับ Kerry Express ที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ.. ภาพทั้งสองภาพสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ว่า การเปลี่ยนเกมของรูปแบบธุรกิจนั้น ส่งผลต่อการขยายตัวและความอยู่รอดขององค์กรอย่างเห็นได้ชัด..ทั้งจากการโตของ Kerry Express ด้วยการร่วมงานกับ Lazada ที่ผ่าน ๆ มาและยังบุกตลาดการส่งด่วนทั้งจุดรับของบนสถานีรถไฟฟ้า หรือจุดต่าง ๆ ในเมือง ก็เป็นการสร้างฐานกำลังและโครงข่ายสำคัญที่ต้องใช้ทุนไม่น้อยทีเดียว….

.

ด้วยการโตขึ้นของตลาดการค้าออนไลน์ (E-Commerce) ก็เป็นตัวขับชั้นดีที่จะอยู่ในช่วง “น้ำขึ้นให้รีบตัก” ของกิจการส่งด่วนเหล่านี้….การจะวัดกันอาจจะมองเห็นว่าโตทั้งคู่ แต่การโตนั้น ก็มีหลากหลายนะครับ..ทั้งการรองรับกิจการโครงข่ายการค้าใหญ่ ๆ หรือ SME ดังนั้นระยะพิสูจน์กระต่ายกับเต่า เริ่มขึ้นแล้วครับ…และยังมีความสนุกอีกมากมายให้เห็นในกิจการการส่งด่วนแบบนี้ครับ..

.

แต่การตลาดเหล่านี้ก็ยังมีคู่แข่งแบบทางตรง เช่น DHL, SCG Express, TNT Express หรือ ทางอ้อมอีกหลายทางเลือกเกิดขึ้นนะครับ เช่น LINE Man, Grab และอื่นๆ ครับ… หนทางยังอีกยาวไกล แต่ในระยะเวลาอันสั้นนี้ การขยายพลังการจัดส่งและรองรับความเปลี่ยนแปลงคือโจทย์สำคัญอย่างยิ่ง

.

สำหรับ “ไปรษณีย์ไทย” นั้นเป็นกิจการของคนไทย ก็คงต้องแอบเชียร์อยู่แล้วครับ..ไทยแลนด์สู้ๆ ปู๊นๆ ฉึก-กะ-ฉักๆ

.