การวางสินค้า (Storage) ตอนที่ 5

.

จากที่เสนอการจัดเก็บมาตรฐานทั่วไปที่ใช้ ๆ กัน ผมว่า อาจจะต้องเอามาเทียบถึงจะเข้าใจนะครับ….ผมอยากให้ดูรูปแบจะเข้าใจ Concept นะครับ โดยหลัก ๆ แล้วก็มีปัจจัย 2 ส่วนหลัก ๆ คือ พื้นที่จัดเก็บ (Storage) และ เครื่องมือยกจัดเก็บ (MHE – Material Handling Equipment) นะครับ โดยการออกแบบแต่ละชิ้นมีการเลือกดังนี้ครับ

.

พื้นที่จัดเก็บ จะต้องดู ปริมาณการหยิบในแต่ละครั้ง, หยิบเป็นชิ้นหรือเป็นกล่อง หรือไปทั้งพาเลท, ต้องแกะกล่องไหม, ความถี่ในการหยิบที่เดิม ๆ เยอะแค่ไหน, แล้วเวลาในการหยิบจะต้องจัดพื้นที่หยิบกี่พื้นที่ เช่น หยิบกล่องกับชิ้น แยกที่จัดเก็บกันไป..อันนี้คือเรื่องที่ต้องคำนึงถึงตอนที่ออกแบบการจัดเก็บนะครับ เลือกให้ดี…

เครื่องมือยกจัดเก็บ จะต้องดูถึงพื้นที่จัดเก็บนั่นเองว่าเราเลือกแบบไหน, เตรียมความพร้อมก่อนว่าจะให้คนขับจะต้องเรียนอะไรบ้าง..ยืนขับหรือนั่งขับมีผลแค่ไหน, อุณหภูมิของพื้นที่ที่ไปจัดเก็บหนาวไหมหรือทั่วไป..ต้องคิดหมดนะครับ เราอาจจะเลือกไม่ได้ว่า จะใช้อะไรทันที เพราะมีหลายยี่ห้อเหลือเกิน ดังนั้น ก่อนจะเลือกทั้ง 2 อย่างจึงต้องคิดถึงวิธีการทำงานเป็นหลัก…และความต้องการในการหยิบสินค้า…

.

คราวนี้มาเรื่องการเปรียบเทียบก่อนจะจากเรื่องการจัดเก็บพื้นฐานไปนะครับ สรุปง่ายนะครับ ผมเทียบเป็นปริมาณพาเลทต่อพื้นที่จัดเก็บที่จำกัดความสูงและพาเลทสินค้าขนาดเท่ากันนะครับ (เงื่อนไขยาวๆ อาจจะทำให้งงนะครับ) เช่น คลัง กว้าง 18 เมตร X 18 เมตร X สูง 10 เมตร ความนี้จะมาเปรียบเทียบเป็นตุ๊กตาให้นะครับ ถ้า…

Selective Rack = X

Double Deep Rack = 1.5X

VNA Rack = 2X

Drive in = 2.5X

อันนี้เป็นค่าโดยประมาณนะครับ เอาไว้เทียบเล่น แต่จะเห็นจริง ๆ ว่า ช่องทางวิ่งคือ Key ของการออกแบบเลย ครั้งหน้ามาแน่นอนแล้วครับ Automation เท่าที่ผมเคยได้คุยๆ มา มีหลาย Concept มากนะครับ

.

แต่สิ่งสำคัญที่สุดของการเลือกนะครับ ไม่ใช่แค่จะทำให้สูงสุดนะครับ แต่บางทีระยะเวลาการใช้งาน หรือให้บริการ, ระยะเวลาสัญญาในการทำร่วมกัน, เงินทุนที่ลงไป, ความประหยัดที่แท้จริง…พวกนี้มีผลหมดนะครับ เราจะมาลุยกันต่อในตอนหน้าครับ

.

การวางสินค้า (Storage) ตอนที่ 4

.

การเลือกใช้ Drive In Rack ก็จัดการยาก…จะใช้ Selective Rack หรือ Double Deep Rack ก็เสียทางวิ่ง….คราวนนี้ถ้าจะทำแบบผสมหละ…ก็ต้องเอา Selective Rack มาลดทางวิ่งดู เลยทดลองทำดูทั้งฝั่งของผู้ติดตั้ง Rack และ ผู้ออกแบบ MHE (เครื่องมือย้ายสินค้า) ด้วยการสร้างช่องให้แคบเท่ากับขนาดของรถ และติดตั้งรางวิ่งระหว่างช่องวิ่ง เวลาที่ขับรถเข้าไปก็ง่ายที่ไม่ต้องกังวลซ้ายขวา ขับตามรางเป็นอันเรียบร้อยและง่ายเลยนะครับ..

.

ข้อดีที่ชัดเจนคือ สามารถหยิบของทีละพาเลทได้ง่าย และเก็บของได้เยอะกว่า Selective Rack….มีดีต้องมีเสีย….จากที่ทางวิ่งแคบนั้นทำให้เกิดภาวะเข้าได้ทีละคัน หรือวิ่งย้อนไม่ได้นั่นเอง… การทำงานจึงเป็นทิศทางเดียวเป็นหลัก…แต่คงจะขาดไม่ได้ว่า แล้วราคาหละ มากกว่า Selective Rack ไหม คำตอบคือ ค่า Rack ไม่ต่างกันมา เพียงเพิ่มค่า Guard Rail แต่ ค่ารถยกนี่ต่างกันพอควรครับ…

.

จากที่พบเห็นมานะครับ Rack ประเภทนี้เคยนิยมมาสักพักนึงและห่างหายไปเพราะใช้งานยาก แต่ทุกวันนี้ เมื่อมีทางเลือกใหม่คือ นำเครนมาใช้งาน ก็พบว่าเครนไม่ต้องคิดเรื่องรถวิ่งเข้าออกอีก เพราะมีแค่ เครนเท่านั้นที่วิ่งผ่าน การตั้ง Rack แบบ VNA จึงถูกใช้ด้วยการแยกช่องให้เท่ากับขนาดจองเครน และนำเครนมาวิ่งผ่านไปมา…VNA Rack + Crane จะเรียกว่า.. “ASRS” นั่นเอง…ลดความเสี่ยงได้มหาศาลเลยครับ ระยะสั้นการลงทุนอาจจะไม่คุ้มทุน แต่เวลาผ่านไป คุ้มแน่นอนครับ (อย่างที่เคยเล่าในเรื่อง Global House)

.

เดี๋ยวค่อยๆ มาดูกันต่อนะครับ ตัวเริ่มต้นหมดแล้ว หลังจากนี้จะเริ่มเพิ่มเติมชนิดของ Rack ที่ประยุกต์จากตัวเริ่มต้นแล้วใส่หนุ่ยนต์และระบบเข้าควบคุมครับ

.

การวางสินค้า (Storage) ตอนที่ 3

.

การจัดเก็บที่เคยได้เล่ามาแล้วนั้น ใชกันแพร่หลาย แต่ก็ยังมีข้อด้อยอย่างหนึ่งคือ พื้นที่ที่สิ้นเปลืองไปกับทางวิ่งของรถ…เมื่อเทียบกับปริมาณการหยิบสินค้า…แล้วมันเปลื้องยังไง….เราลองมาเทียบนะครับ หากพาเลทสินค้าถูกจักตั้งในคลังสินค้า ทางวิ่งจะกินพื้นที่ที่พื้นไปเท่า ๆ  กับพื้นที่จัดเก็บเลยทีเดียว แต่การจัดเก็บจะถูกจัดเก็บในที่สูง ทำให้เราแค่รู้สึกว่า มันก็เยอะและมีจำนวนมามากทีเดียว…

.

เมื่อทางวิ่งมันเป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ แล้ว จะทำให้ทางวิ่งหายไปจากการทำงานจะทำอย่างไรได้บ้างหละ…จึงมีคนคิดค้นขึ้นว่า งั้นก็เอา ทางวิ่งไปไว้ใน ช่องเก็บสินค้าสิ….แปลกแต่จริง ไม่ใช่ทำไม่ได้นะครับ.. ณปัจจุบัน เทคโนโลยีนี้เก่ามากๆ แล้วนะครับ และไม่เป็นที่นิยมในเมืองไทยเนื่องจาก คำสั่งซื้อหรือการขนย้ายต่อคำสั่งซื้อนั้น ค่อนข้างน้อย ดังนั้น การสร้างสิ่งนี้จึงไม่คุ้ม…จากที่บอกนะครับ เมื่อเอาทางวิ่งในเข้าไปในพื้นที่จัดเก็บสินค้า ก็เรียกกันง่าย ๆ ว่า Drive In Rack

.

Drive In Rack หน้าตาเป็นอย่างไร ดูได้จากภาพได้เลยนะครับ แต่จากที่บอกไปนะครับ การจัดการสินค้าจะต้องจัดการ เป็นปริมาณมากต่อ Lot เนื่องจาก การจะนำสินค้าเข้าพื้นที่จัดเก็ชจะเอาเข้าตามใจไม่ได้ แต่จะต้องมีลำดับการวางสินค้าเสมอ ไม่เช่นนั้น ของมันจะขวางกันเอง อันนี้คือจุดด้อยข้อใหญ่ของ Rack ขนิดนี้ และ อุปกรณ์ที่จะใช้ในการจัดเก็บนั้น ไม่เหมือนคนอื่นเนื่องจาก องศาของโครงรถยกจะต้องปรับเข้ากับช่องว่างที่ยังเหลืออยู่นะครับแต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสียนะครับ เพราะการใช้อุปกรณ์ชิ้นนี้ พบว่า สามารถเพิ่มปริมาณการจัดเก็บได้ มากกว่า 200% หรือ 2 เท่าตัวเลยทีเดียว (ขึ้นอยู่กับการออกแบบ)

.

ความต้องการและรูปแบบการจ่ายสินค้าจึงเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการออกแบบ รวมทั้งผู้ใช้งานจะต้องมีความรู้เพื่อควบคุมและทำให้อุปกรณ์เกิดประโยชน์สูงสุดได้ การฝึกฝนจึงมีบทบาทมากไม่แพ้ Double Deep Racking ที่ได้กล่าวมาแล้ว..

.

การวางสินค้า (Storage) ตอนที่ 2

.

การจัดเก็บแบบ Selective Rack หรือ Pallet Racking หากมองโดยรวมแล้ว การจัดเก็บนั้นออกแบบเพื่อทำให้เราสามารถจัดเก็บและหยิบสินค้าได้ง่าย แต่เมื่อเผชิญกับปริมาณสินค้าต่อ Lot การหยิบมีปริมาณที่มากขึ้น โดยปริมาณที่หยิบต่อหนึ่งการผลิต (Lot เดียวกันมากกว่า 1 พาเลท) ก็จึงมีคนคิดค้นขึ้น ให้สามารถเก็บสินค้าได้ 2 พาเลท ซ้อนกัน และได้ดัดแปลงรถที่ตักสินค้าไปในรูปแบบที่สามารถตักสินค้าได้ลึกขึ้น…Rack ที่ถูกออกแบบและสร้างขึ้น เรียกว่า “Double Deep Racking” (สามารถดูได้จากภาพนะครับ)

.

มีข้อดีกว่าการทำแค่ ความลึกพาเลทเดียวเพราะ สามารถจัดเก็บในเชิงลึกได้มากขึ้นอีก 1 พาเลท และทำให้ทางวิ่งที่เคยกว้าง ดูแคบลงเนื่องจาก ช่องทางวิ่งเท่าเดิม แต่สามารถตักสินค้าได้ 2 พาเลท ดังนั้นความคุ้มค่าในการใช้ช่องทางวิ่งจึงเพิ่มขึ้น 2 เท่าทันที….แต่มีข้อดีก็มีข้อเสียนะครับ…เช่น การขับรถตักสินค้าวางลงบน Rack ประเภทนี้นั้น ต้องให้ผู้ขับมีความชำนาญมาก ๆ, การตรวจสอบสินค้าของพาเลทที่อยู่ด้านหลังนั้น จะต้องตั้งพาเลทด้านหน้าออกก่อนเสมอ, หากสินค้าภายในช่องเก็บ (มี 2 พาเลท) นั้นยังไม่หมด ก็จะพบว่าช่องนั้นจะไม่สามารถใช้งานได้ หรือหากฝืนใส่เข้าไปจริง ๆ สินค้าก็จะเริ่มปน Lot ผลิต หรือ รหัสสินค้าในช่องอาจจะไม่ตรงกัน

.

ดังนั้นการเลือกใช้ Double deep racking นั้น มีความจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบให้แม่นยำเสียก่อนว่า ผู้ออกแบบจำเป็นต้องเลือก Rack ชนิดนี้มาใช้หรือไม่…หากจำเป็นจริง ๆ จะต้องคำนึงถึงข้อเสียที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นให้ดี ก่อนตัดสินใจเลือกการจัดเก็บด้วยวิธีนี้ รวมทั้ง เตรียมการจัดสอนผู้ขับรถให้เกิดความชำนาญ พร้อมทั้งออกแบบให้ระบบจัดเก็บสอดคล้องกับขั้นตอนการทำงานครับ.

.

การจัดเก็บยังมีอีกหลากหลายรูปแบบมากนะครับ การเลือกที่ดี จะส่งผลให้เราสามารถจัดการสินค้าได้ง่ายและรวดเร็วครับ

.

การวางสินค้า (Storage)

.

ในประเทศเรา อาจจะต้องมอง พื้นที่ในอากาศไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่…เพราะ พื้นที่ในประเทศเรายังเหลืออีกมากมาย (ทั้ง ๆ ที่จริงแล้ว ไม่ได้เหลือเยอะขนาดที่เราเข้าใจ) ค่าที่ดินในทำเลที่ดีและสำคัญต่อการขนส่ง จึงเริ่มมีราคาที่ขยับตัวขึ้น เทคนิคหนึ่งของการจัดเก็บสินค้า คงไม่พ้น การจัดเก็บให้ยิ่งสูงยิ่งดี…..แต่ความสูงจำกัดที่พื้นที่แต่ละประเภท ระบุไว้ ทำให้อาคารที่สูงมาก ๆ อาจจะยังเกิดไม่ได้มากในเมืองไทย อาจจะด้วยเหตุผลว่า ดินในประเทศไทย หรือ ชั้นหินด้านใต้ลงไปนั้น มีต้นทุนในการจัดการสูงเมื่อเทียบกับการซื้อที่ดิน…และการควบคุมการก่อสร้างเพื่อให้ได้มาตรฐานยังเป็นไปได้ยากอยู๋ แนวตั้งก็ยังเป็นแนวทางที่พัฒนากันต่อไป

.

แต่ถ้าจะพุดถึงการจัดเก็บในแนวสูงนั้น ในอดีต เราเก็บสินค้ากันบน อาคารพาณิชย์ และทำไปตามโครงสร้างว่าสามารถรับน้ำหนักต่อตารางเมตรได้เท่าไหร่..ผู้ผลิต Rack ทั้งหลายจึงเริ่มเข้าสู่การใช้เสาและคานมาประกอบกับเพื่อให้เป็นคล้าย ๆ กับอาคารเล็กที่จัดเก็บสินค้า (เป็นพาเลท) ตัวพื้นฐานมาก ๆ ในวงการก็จะเรียกว่า Selective Rack (ติดไว้นานแล้วครับ เอามาอธิบายเสียทีครับ) หรือบางทีเรียก Pallet Racking

.

การจัดเก็บจะยกเป็น พาเลท ๆ ย้ายทีก็ย้ายเป็นพาเลท..ด้วยรถยก มาดูกันครับว่า ประกอบด้วยอะไรบ้างครับ… ตัวโครงสร้างของ Rack, ทางวิ่งรถ, รถยก…แต่ความจริงแล้วนั้น ยังมี ชื่อ Bin หรือ Location ซึ่งในระบบจะมองเป็น บ้านเลขที่นั่นเอง เก็บอะไรไว้บ้านเลยที่ไหน.. สร้างบ้านเลขที่ในระบบ และยืนยันสิ่งที่เก็บให้ตรงกัน…ง่ายหน่อย แต่ตรวจสอบยาก ก็จดมือแล้วบันทึกไว้ (อันนี้เก่าแล้ว) ทุกวันนี้ ฮิต ๆ หน่อย ก็ RDT (ดูตัวอย่างได้จาก 7-11 เวลาเติมของเข้าชั้นวาง) ฮิตไปกว่านั้นก็ RFID กันไปเลย..

.

การใช้งานก็เปลื้องที่ทางวิ่ง..แต่ก็ง่ายต่อการหยิบและเข้าถึงทุกพาเลทได้ง่าย ๆ ไม่ต้องคิดเยอะ เมื่อเทียบกับการเก็บของในเชิงซ้อน เช่น Double Deep Racking คือการเก็บสินค้าซ้อน 2 พาเลท ในช่องเก็บเดียว ลองดูภาพก่อนนะครับ จะได้เข้าใจตรงกัน..

.

ความรู้ (knowledge)

.

มีแนวความคิดหนึ่งของคนจีนสอนเสมอว่า..”แมวสีอะไรก็ได้ ถ้าจับหนูได้ก็ถือเป็นอันใช้ได้”..มันก็เป็นไปได้เสมอหากสามารถถึงเป้าหมายได้..ความรู้ของการทำงานภายในคลังสินค้าก็ไม่แตกต่างกัน หากคุณเป็นแค่ส่วนหนึ่งของทีม คุณอาจจะบอกได้ว่า ฉันรู้ในงานที่จะต้องทำก็เพียงพอ แต่จากที่ผ่านมา ผมพบว่า หากคุณจะขึ้นเป็นผู้บริหารที่มีผลต่อองค์กรจริง ๆ ก็เป็นเพียงแค่ผู้รู้เรื่องเท่าที่ทำ อาจจะไม่เพียงพอครับ… จากที่ผมเคยเจอผู้บริหารมาหลายแขนง ท่านจะบอกเสมอว่า ทำงาน Logistics มันคือการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ Logic + Tactics นั่นหมายถึงความรู้ทีเป็นตรรกะ บวกกับขั้นตอนการทำงานที่มีกลยุทธ์นั่นเอง

.

ผมเคยได้ร่วมงานกับผู้บริหารที่เก่งท่านนึงเลยครับ..ระดับ General Manager นั้น ต้องมาทำงานหลายอย่างมาก ๆ ตั้งแต่ Project Manager ไปยัน Admin เรียนรู้ทุกงาน รู้ทุกซอกทุกมุม ทำงานจนคล่องแคล้วมาก ๆ รู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนตัวพนักงานที่ถูกจ้างมาทำในตำแหน่งนั้น ๆ เสียอีก..ธรรมดามั้ยหละครับ การจะรู้เรื่องทั้งระบบนั้นไม่ง่ายเลย..แต่หนีไม่พ้นจริง ๆ ครับ ท่านจึงเรียนรู้ทุกอย่างจากในระบบ ลงทุกรายละเอียด แม้นกระทั้งลงไปเป็นคนสอน รปภ เพื่อให้ การไหลเวียนของรถที่เข้ามาที่คลังนั้นเป็นไปอย่างเรียบร้อย…มุมนึงอาจจะมองว่า คนในทีมไม่มีประสิทธิภาพใช่ไหม..แต่อีกมุมนะครับ คือ คน ๆ นี้ไม่ปล่อยให้หลุดจริง ๆ..

.

จากตัวอย่างข้างบนนั้น จะพบว่า รายละเอียดของงานและปัญหานั้น คือ สิ่งที่ต้องเรียนรู้ ยิ่งคนที่รู้เยอะและมีประสบการณ์ก็จำเป็นจะต้องรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ อีกอย่างต่อเนื่อง จับนั่นมาผสมนี่ โดยสิ่งที่เรียนรู้นั้นคือ การนำตรรกะจากประสบการณ์ มาผสมเข้ากับ การวางแผน เพื่อทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการนั่นเอง หากคุณอยากจะก้าวหน้า และประสบความสำเร็จในการทำงาน…..หนทางอยู่ในคลังครับ เข้าไปลุยได้เลย แล้วคุณจะพบกับขุมทรัพย์มากมายครับ

.

หน้าที่ (Duty)

.

คำสั้น ๆ สองพยางค์ที่อยู่ใน Job Description ทุกคนที่ทำงานก็จะต้องอ่านให้เข้าใจและทำงานในพื้นที่ที่หน้าที่กำหนดนั่นเอง…อันนี้คือหน้าที่ที่จะต้องทำในทุก ๆ วันของการทำงาน…การทำงานแต่ละปีก็จะถูกกำหนดเป้าหมาย (Goal) ที่จะต้องทำให้สำเร็จในแต่ละปี ตามเป้าที่ตั้ง หากไม่ถึงก็ลดหลั่นเงินได้พิเศษ เช่น โบนัส กันลงไป แต่หากมีอภินิหารจริง ๆ แสดงแสนยานุภาพออกมาได้สารพัด ก็น่าจะได้เงินพิเศษ เยอะกว่าคนทีทำได้ตามปกติ…

.

แต่ทุกวันนี้เท่าที่เจอมันมีทีเด็ดกว่านั้นเยอะ ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ถ้าเจอพื้นที่สีเทาเมื่อไหร่ มันส์เลยครับ…โยนกันเลยทีเดียว มันดูสบายดีครับ งานหมดไปจากตัวทันควัน…รวดเร็ว และง่ายดาย….ปัญหาที่จะพบเรื่องเดียวคือ “จะเอาผลงานที่เป็นงานของเรา แต่โยนให้คนอื่นทำเนี่ยะ” มาเป็นของเรายังไง….มันต้องเนียนจริง ๆ ถึงจะทำได้แบบภูษาไร้ตะเข็บกันเลยทีเดียว…

.

ความมันส์มันอยู่ที่ผลกระทบกับองค์กรมากกว่า ภาพรวมมันดูดี แต่ภาพสะท้อนนี่สนุกมากครับ….เชื่อไหมครับ ไอ่นิสัยแบบนี้ ถ้าองค์กรจัดการไม่ได้นั้น…จะเกิดภาวะ “ความเจริญถดถอย” ขององค์กร อันได้แก่ ทำงานก็ไม่เสร็จ เพราะไอ่คนที่ต้องทำ ก็มีงานล้นมืออยู่แล้ว หรือจะคนก็ออกกันบ่อยมากเพราะ ทนไม่ไหว ยิ่งถ้าเป็นตำแหน่งใหญ่ ๆ หรือยัดเยียดความลำบากแบบเต็ม ๆ พอดีเลยครับ ทีมไม่เกิด HR ทำงานไม่ทัน…มีตายกันทั้งคลัง…

.

เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกของแต่ละองค์กร (ก็แปลกใจมานานเหมือนกันว่า “ที่บ้านสอนมาอย่างไร” ทำไมขยันเอาเปรียบชาวบ้านจัง) แต่ก็หนีไม่พ้นจริง ๆ แล้วเราจะทำอย่างไร…มีผู้ใหญ่ท่านนึงสอนมาครับว่า..”หากว่าโดนเอาเปรียบจริง ก็ทำมันให้หมดเลย” ก็เป็นแนวคิดที่แปลกนะครับ แต่หากว่าคุณมองมุมกลับจะพบถึงเส้นทางอันยิ่งใหญ่ทีเดียวกับคำพูดที่ดูโง่ ๆ แบบนี้นะครับ ถามว่าทำไม…เชื่อไหมครับ ผู้บริหารหลาย ๆ ที่ หลาย ๆ คน เป็นพวกที่ทำมาแล้วหลาย ๆ อย่างทั้งนั้น มีน้อยมากที่คนที่ทำอะไรสำเร็จ จะนั่งนิ่ง ๆ ตั้งแต่เยาววัย จนถึงวันที่ยิ่งใหญ่….เส้นทางลำบากในวัยรุ่น จะช่วยให้เราบากบั่น ฝ่าฟันเส้นทางของเราเองได้ “เท่านั้น” อันนี้เป็นเรื่องจริง ที่คนส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จผ่านกันมา….

.

เวลาเราจะประเมินการทำงานของใครสักคน อาจจะต้องรู้ก่อนว่า “หน้าที่” ของเขานั้นคืออะไร ทำได้ครบถ้วนหรือไม่..ทำจริงหรือไม่ ทำแล้วได้อะไรมาบ้าง พัฒนาบ้างไหม มากมายแค่ไหนที่ให้กับทีมงาน..ทำแทนเพื่อนเป็นไหมในวันที่เพื่อนไม่มา โดนเอาเปรียบไหมคนแบบนี้..มันเป็นเรื่องตลก แต่มันเป็นจริงครับ ..และคำเรียกร้องเสมอมาคุณจะได้ยินคือ ผมทำงานดีนะครับ ทำทุกอย่าง แต่เมื่อถามไปว่า ทุกวันนี้ 8:00 – 17:00 คุณทำงานอะไรบ้าง..ก็ไม่ค่อยมีใครเล่าให้ฟังได้หมดนะครับ….

.

มันเป็นเสน่ห์ของชีวิจที่ต้องเจอจริง ๆ ครับ..เมื่อก่อนผมเคยทำโปรเจคให้กับคนคลัง…จากที่เราศึกษาพบว่า ทุกวัน น้อง ๆ จะเข้างาน ช้ากว่ากำหนด 15 นาที เลิกงานเพื่อพักเที่ยงก่อน 15 นาที เข้างานบ่ายสายกว่ากำหนด 15 นาที และเลิกงานไวกว่า 15 นาที ซึ่งเป็นเล่นไปนะครับ..คนคลังเหล่านี้ กินฟรีบริษัทไป 1 ชมการทำงานแล้ว และเมื่อครบเดือนเราจะหายไป 25 ชม นั่นเอง….ผมจึงดำเนินการขอลูกค้าว่า..หากเราสามารถทำงานได้ไวขึ้นเกิน 8 ชม เราจะขอหยุด 1 วัน เชื่อไหมครับ ด้วยความรักของลูกค้าที่รักคนคลังที่ทำงานให้นั้น ลูกค้าอนุมัติให้หยุดได้ โดยไม่ต้องลดเงินเดือน แต่มีเงื่อนไขแค่ว่า..หากมีความจำเป็นทางลูกค้าขอให้มาช่วยโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่อย่างใด ยกเว้นจะมี การทำงานล่วงเวลา..ก็จะจ่ายค่าล่วงเวลาให้ ความอัศจรรย์ของคนงานไทยที่ผมเจอก็ทำให้ไม่เชื่อได้เหมือนกัน เช่น..เพราะหัวโจกที่ชอบส่ง โพยบอลให้แผนกอื่นและมาทำงานสายทุกวัน ถามว่า ทำไมถึงไม่ได้โอที ในช่วงเวลาที่มาทำงาน (8 ชมแรก ก่อน ช่วงเวลาการทำงานล่วงเวลา) …สุดท้ายแล้ว โปรเจคนี้ก็ลมพับไป ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่า เงินเดือนลดไมได้ และ จะจ่ายเพิ่มก็ไม่ได้เหมือนกัน..เรื่องตลกร้ายในชีวิตจริง ๆ ครับ..

.

จากเรื่องที่กล่าวมาแล้วนั้น มองดี ๆ นะครับ ว่าอะไรที่ขาดหายไป…เพียงแค่ 1 ชม ในแต่ละวันที่เข้างานช้านั้น มันคือความไม่เคารพหน้าที่ของตนเองเป็นอย่างมาก…หากคุณเป็นคนที่ต้องเข้างานตามเวลา..มันก็ควรจะต้องตรงต่อเวลา..หากคุณได้รับอนุญาตจากหัวหน้างานเข้างานกี่โมงก้ได้ บางครั้งมันมีเหตุผลของมัน เช่นบางคนทำงานที่บ้านต่อยันดึก รวมทั้งนายก็เป็นคนที่ทำงานด้วยกัน…อันนี้ถือว่ายังอยู่ในหน้าที่นะครับ ตามการตีความ…แต่การทำให้เวลาหายไปวันละ 1 ชม นั้น…ถือว่าไม่ได้ทำ “หน้าที่” นะครับ นี่ยังไม่ได้คุยเรื่องงานที่ต้องทำในแต่ละวันนะครับ เสน่ห์ของคำว่าหน้าที่มันอยู่ตรงนี้นี่เอง ความซื่อสัตย์ก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งในการทำงานเหมือนกัน…

.

การฝึกฝนตนเองเท่านั้นถึงจะชนะ (The trained man wins)

.

เรียนรู้ คำนี้ไม่มีหมดสิ้นจริง ๆ มันยังคงเป็นจริงเสมอ..หากเราหยุดเรียนรู้ โลกจะหมุนนำเราไปข้างหน้าเสมอ….แต่การฝึกฝนต้องใช้พลังมาก…ในการทำงานองค์กรก็เช่นกัน ยิ่งในธุรกิจคลังสินค้า ใช้คนเป็นจำนวนมาก..ไม่แพ้โรงงานอุตสาหกรรมย่อม ๆ เลย (จริง ๆ ก็คือส่วนหนึ่งของระบบการผลิตที่โรงงานส่งงานไม่ทำให้เกิดความสูญเปล่าในระบบ) พอคนเยอะ อะไร ๆ เยอะตามนั่นเอง..ดังนั้นการสร้างคนจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ สร้างคนในทุกระดับของการทำงาน..

.

ปณิธานของภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีนั้น ได้กล่าวไว้ว่า “THE TRAINED MAN WINS” หรือ ทนโต เสฏโฐ มนุสเสสุ แปลว่า ในหมู่มนุษย์ ผู้ที่ฝึกตนดีแล้วเป็นผู้ประเสริฐ. ปณิธานนี้ ชัดเจนและบาดลึกเข้าไปในใจนะครับ…เราเคยมองย้อนกลับไปที่คนของเราไหมว่า เป็นผู้มุ่งมั่นพัฒนาตนเองแค่ไหน…แล้วเราปูเส้นทางไว้อย่างไรในการให้พวกเขาได้เรียนรู้เพื่อเป็นคนคลังที่ดี…

.

เรื่องที่ต้องเรียนมีเยอะนะครับ ไม่ใช่น้อย ๆ เลย..แม้นกระทั่งนับเลข หรือนับหน่วยวัด (Unit of Measurement) บางคนถึงขั้นไม่สามรถนับเลขให้ถูกต้องได้.. บางคนใช้ Excel ไม่เป็น บางคนเรียนรู้การใช้ WMS ไม่ทันการ ก็เกิดการย้ายงานไปเรื่อย ๆ Turnover ก็มีอัตราที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ …บางที่จะทำอะไรต่อจากนี้ก็ยากนะครับ จะมองหาคนที่ทำงานนาน ๆ ได้ นอกจากจะมองเรื่องสวัสดิการกับเงินเดือน ก็หาคนที่อยากเรียนรู้ และมุ่งพัฒนาตนเองอยู่เรื่อย ๆ นั้นหาไม่ง่ายแล้วในปัจจุบัน..การวางแผนของทีมงานหนึ่งจึงค่ามากและหลาย ๆ บริษัทได้ทำเป็นศูนย์เรียนรู้กันเลยทีเดียว… หรืออาจจะระบบ ออนไลน์จากต่างประเทศกันหมดแล้ว…

.

แต่สิ่งสำคัญก่อนของการเรียนรู้ คือ การวางแผนก่อนว่าจะสอนอะไรดี..สอนแล้วเอาไปใช้งานได้จริงไหม…แล้วผลจากความรู้ที่ได้ตอบรับการทำงานของทีมงานหรือไม่…โดยสิ่งที่สำคัญของการฝึกฝน ไม่ใช่ในห้องเรียนที่อยู่เพียงอย่างเดียว แต่กลับเป็นการฝึกฝนทุกวัน…ทุกวันเราอาจจะต้องสร้างโจทย์เพื่อให้ทีมงานได้ฝึกฝนโขทย์ที่เกิดขึ้น และพร้อมรับมือปัญหาอยู่เสมอ…

.
แต่การฝึกฝนถ้าทำสำเร็จและคนที่เรียนรู้เรื่องแล้ว อยู่กับบริษัทตลอดไปก็คงดี หากแต่เรื่องจริงมันไม่ใช่เลย…พอพัฒนาได้ระดับหนึ่ง เรามักจะได้ยินคนที่เราปั้นสร้างมานั้น เดินมาบอกลาเรา เพื่อจากไปรับโอกาสใหม่ที่เข้ามาหา รวมทั้งบริษัทที่ทำธุรกิจในแนวเดียวกัน ก็ถือว่าเด็ดยอดขาเขียว โดยไม่ต้องลงทุนปลูก.. ทั้งได้ความสดใหม่ และไฟที่อยากจะทำงานใหม่ ๆ เข้าร่วมในองค์กร…

.

มันเป็นเรื่องไก่กับไข่จริง ๆ นะครับ สร้างมาก็ลงทุนเยอะ ถ้าทิ้งกันไปก็เสียเงินสร้างคนเพื่อบริษัทอื่น แต่หากไม่สร้างก็ต้องไปเด็ดยอดชาเขียวคนอื่นมากินเอง…ดังนั้น เลือกให้ดีก่อน จากนั้นวางแผนการสร้างคน และต้องไม่ลืมการวางแผนเพื่อป้องกันไม่ให้คนคลังที่มีความรู้ไหลออกจากบริษัทไปอยู่กับคู่แข่ง..

.

ยืนให้มั่นและค่อยไปต่อ (Settle and Grow)

.

ในโลกของนิยายกำลังภายในอิงประวัติศาสตร์ ก็มีหลายตัวอย่างที่เกี่ยวกับการสร้างตัว เช่นเรื่อง มังกรคู่สู้สิบทิศ ที่หวงอี้ ผู้ล่วงลับได้แต่งไว้และสร้างชื่อให้กับเขต่อจากเรื่องเจาะเวลาหาจิ๋นซี…….เนื้อเรื่องบางส่วนกล่าวไว้ว่า โค่วจงกับฉีจื่อหลิง ได้สร้างกองกำลังขุนพลน้อยเอาด้วยหงาดโลหิตและแรงกาย..จากนั้นตนเองก็ออกไปร่อนเรที่ต่างแดนเพื่อให้เนื่อเรื่องยืดไปก่อน…แต่สิ่งที่ทั้งสองตัดสินใจเลือกเดินทางออกไป ตามเรื่องนั้นได้ใช้หลักการคิดที่ว่า “เมื่อเริ่มขยายแล้วจะต้องมั่นคงเสียก่อนจึงจะขยายต่อไป” ….หลักการนี้ถ้าเทียบกับแนวคิดการทำธุรกิจในปัจจุบันนั้นจะพบเลยว่า มันเป็นความคิดที่ตลกมาก..เพราะ น้ำขึ้น ทำไมไม่รีบตักหละ…ใคร ๆ ก็คงคิดแบบนี้..จริงไหมครับ แต่จากที่คุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่สูงวัยทั้งหลาย ท่านกลับตอบด้วยสีหน้าท่าทางติดตลกว่า…”ช้า ๆ ได้พล่าเล่มงาม” นั่นก็เป็นเรื่องที่ผมสงสัยมานานแล้ววงการคลังสินค้า การจัดส่ง และ โลจิสติกทั้งหลายจะจัดการเรื่องพวกนี้อย่างไร…

.

ผู้บริหารใหญ่ของคลังสินค้าในบริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าหนึ่งในประเทศมาเลเซีย เคยให้คำสอนและแง่คิดกันระหว่างสนทนาว่า…

ผู้บริหาร : “คุณคิดว่านายของคุณเป็นยังไง?”

ผู้เรียนรู้ : “ผมคงตอบได้ไม่เต็มปาก แต่บอกได้แค่ว่า เก่งและเมตตาผมมาก..”

ผู้บริหาร : “แล้วเธอมี strategy อย่างไรกับการทำงานบางหละ?”

ผู้เรียนรู้ : “ตอบยากนะครับ ระดับของผมห่างไกลจากเธอมาก.. แต่เธอก็พร้อมที่จะลุยไปข้างหน้า หาลูกค้าเรื่อยมา…”

ผู้บริหาร : “หรอ? รู้ไหม ทำไมคลังที่นี่จึงไม่มีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่ลูกค้าจ่ายให้เพิ่มขึ้น และยังได้ยอดตามที่นายสั่งมา?”

ผู้เรียนรู้เงยหน้าขึ้น แล้วมองอย่างสงสัย พร้อมกับถามกลับไปว่า : “ทำได้อย่างไรหรอครับ”

ผู้บริหารยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อว่า : “เธอเคยรู้จักคำว่า ยืนให้มั่นแล้วค่อยก้าวไหม?”

ผู้เรียนรู้ : “เคยครับ มันเป็นกลยุทธ์ของการศึกหนิครับ”

ผู้บริหารยิ้มแล้วกล่าวตอบ “ ใช่แล้ว มันคือกลยุทธ์หนึ่งเลย..ผมใช้วิธีนี้ในการบริหาร คุณรู้ไหม การขยายคลังนั้นค่าเช่าคลังที่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ เทียบกับสัญญาสั้น ๆ ของลุกค้าที่จ่ายค่าบริการแสนน้อยนั้น มันไม่คุ้มเอาเสียเลย…ไล่ออกไปยังจะง่ายซะกว่า…”

ผู้เรียนรู้ได้แต่คีบเนื้อหมูจากชามบังกุดเต้เข้าปาก ด้วยความงุนงง…

ผู้บริหารกล่าวต่อ “เพราะ ค่าเช่าเราต้องจ่าย แต่ค่าบริการลูกค้าจ่าย หากไม่มีลูกค้า เราจะต้องจ่ายเองทั้งหมด..ผมจึงตั้งหลักเกณฑ์ในการเลือกลูกค้าที่จะทำเพิ่มพื้นที่คลังด้วยการ ทำให้เฉพาะลุกค้ารายใหญ๋และสัญญายาวจริง ๆ เท่านั้น ที่เหลือ ผมจะพยายามเค้นให้ใช้พื้นที่ในคลังเดิมให้มากที่สุดก่อน”

ผู้เรียนรู้ได้แต่อึ้ง และถามกลับไปว่า “เคยไล่ลูกค้าไหมครับ?

ผู้บริหารหัวเราะและกล่าวตอบ “เคยสิ ลูกค้าที่มีอยู่จะต้องขยายตามยอดขายจริงไหม? และลูกค้ารายเล้กที่รายได้น้อยและ จะเช่าคลังเพิ่มเพื่อพวกเขาหรอ…ไม่ต้องหรอก เอาออกไปเลยจะดีกว่ามั้ย…ต้องลองชั่งดู หรือต่อรองเพื่อเพิ่มราคาให้ดีขึ้น…ยังไง”

ผู้เรียนรู้หัวเราะ และพุยข้าวกินต่อไป ส่วนตัวผู้บริหารเองก็จิบน้ำชาก่อนจะพุดคุยเรื่องอื่นต่อ…

.

อันนี้เป็นมุมมองหนึ่งของการบริหารจัดการนะครับ ไม่มีถูกและผิด…แต่ผมเชื่อว่า ผู้บริหารท่านนี้ก็เน้นเหลือเกินที่จะควบคุมความเสี่ยง….แต่ถ้าหากว่า เราเอาแต่แตะขอบฟ้ามากไปหน่อย ค่าเช่ามันจะบานมาก..การหาความเหมาะสมนั่นเองคือการตั้งหลักปักฐานที่สำคัญ เมื่อมั่นคงแล้ว คงได้แต่บอกว่า…ค่อยลุยกันต่อ…อย่างที่เคยกล่าวไว้นะครับ รู้จักตัวเราเองก็คงจะเป็นเรื่องสำคัญ จากนั้นเราคงต้องไปเรียนรู้ต่อว่า ลูกค้าของเราต้องการอะไร มีความเจ็บปวดที่จุดไหน..ดังนั้นขอใช้คำของคนแก่เมื่อ 2000 กว่าปีที่แล้วมาบอกว่า..”รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครา” ยังคงใช้ได้จริง ๆ …อาจจะต้องทบทวนไปมาเยอะจริง ๆ ถึงจะได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วควรเลือกทางไหน…

.

รู้จักตัวเองก่อนดีที่สุด (Know yourself)

.

การรู้ว่าตัวเราเองคืออะไรนั้น ทำอะไรอยู่หลายคนคิดว่า น่าจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร..ก็รู้ ๆ กันอยู่ ใช้ชีวิตอยู่ แต่ลองตั้งคำถามให้ตัวเองนะครับ ว่าเอ้ แล้วทำไมเรายังต้องพึ่งพาคนที่สอนเราแสวงหาว่าเราคืออะไรกันอยู่ (วันนี้มาซะปรัชญาเลยนะครับ ห้าๆๆ) แต่อย่าเพิ่งเครียดครับ..ผมจะบอกแค่ว่า คนเราแปลกครับ ในแง่ของการทำงานคลังนั้น เราจะคิดไปเองเสมอว่า เรารู้ว่าตัวเองทำอะไรหรือเป็นอย่างไร..แล้วก้เริ่มพัฒนาปรับปรุงการทำงานในรูปแบบที่คิดว่าเรามีปัญหาตรงนั้น…

.
เราอยากแก้ปัญหามากมายในคลัง เพื่อให้แต่ละวันมีปัยหาเข้ามากวนใจน้อยลง หรือไม่ก็อยากจะพัฒนาการทำงานในคลังสินค้าเพื่อให้ต้นทุนลดลง หรือ ได้กำไรมากขึ้นจากการทำงานที่ไวขึ้น…แต่เท่าที่เคยเจอ ๆ มานะครับ หลายคนเลือกเชื่อสายตา หลายคนเลือกเชื่อตัวเลข..ในสายของผมนั้นเชื่อตัวเลขกับปลายทางที่ส่งเป็นหลักใยการจัดคลังสินค้าครับ…การวางผัง วางแผน ปรับปรุงการทำงาน มันเหมือนศิลปะครับ มันมีพลัง..เราจะมองหามันเจอเมื่อเจอปัญหาที่แท้จริง..และเมื่อเจอปัญหาที่คอยเล่นซ่อนแอบกับเรา เราก็จะพัฒนามันถูกทางเอง…

.

ความเชื่อเรื่องตัวเลขนั้น มันจะต้องสอดคล้องกับวิ่งที่เห็นที่ปลายทางเสมอมา… หรือเรียกว่า Order pattern คงจะอธิบายเป็นทฤษฎีได้ แต่คงไม่สนุก ตัวอย่างน่าจะชัดเจนกว่า…

.

การจัดคลังรองเท้าเจ้าหนึ่ง…ในตอนแรก จัดรองเท้าด้วยกันจัดเรียงสินค้าให้อยู่เต็มทุกช่องจัดเก็บ การหยิบก็หยิบได้ง่ายตามระบบ…แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนที่ดูแลคลังก็มีคำถามให้กับตัวเองว่า.. แล้วลูกค้าวางสินค้าบนชั้นวางสินค้าอย่างไร…จึงหาโอกาสไปเที่ยวดูร้านรองเท้ามากมายและพบสิ่งหนึ่งคือ การวางสินค้าบนชั้นนั้น ว่าเป็นรุ่น และการจัดส่งสินค้าไปที่ร้านนั้น จะต้องมีสินค้าที่ไปที่ร้านตามค่าเฉลี่ยของขนาดเท้าส่วนใหญ่ เช่น..ไซด์ 8,9,10,11 ของผู้ชาย จะถูกส่งไปจำนวนมากกว่า ไซด์ 7,12,13 ดังนั้นเขาจึงกลับมาทบทวน และถามว่า แล้วที่ทำทุกวันนี้หละมันตอบโจทย์จริงไหม ใช่จริงหรือที่วางสินค้าเรียงไซด์บนที่จัดเก็บที่ต่อ ๆ กันไป…ดังนั้น จึงเริ่มทดลองว่าสินค้าใหม่ ให้ตรงกับที่จะต้องจัดส่งให้หน้าร้าน โดยมีทุกขนาดวางเรียงต่อกันเป็นช่วง ๆ ทำให้เกืดการเดินสั้นลง และการหยิบสินค้านั้น หมดไปเป็น ช่วงๆ ไม่วางเรียงต่อกันเหมือนแต่ก่อน แต่ว่าให้ได้สัดส่วนของสินค้า (อ่านแล้วงง อย่าตกใจนะครับ หลังไมค์มาได้ครับ)….ทำให้งานไม่ต้องทำการเคลียร์สินค้าออกจากชั้นอีก และพื้นที่พร้อมที่จะนำสินค้าเก็บเข้าไปได้…เมื่อเขาพบดังนั้น เขาจึงทำกับสินค้าทุกตัวในคลัง..ทำให้เวลาการทำงานลดลงถึงขั้นไม่มี OT ตลอดทั้งเดือน…

.

อันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งนะครับที่อยากจะเล่าให้ฟังว่า…บางที เราอาจจะเพียงรู้ แต่ไม่รู้ลึก ๆ แท้ ๆ ว่าปัญหาที่แท้จริงของคลังนั้นจะแก้ไขที่ตรงไหน..แต่ดันมองหาว่า…เทคโนโลยีไหนหน่าที่เท่ห์และน่าจะแก้ไขปัญหา แล้วก็เอามาใช้ จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่มองหาอะไรใหม่ๆ แต่ความเป็นจริงแล้วนั้น การจะเลือกเทคโนโลยีหรือวิธีการทำงานมาทำให้เกิดขึ้นนั้น จะต้องเลือกด้วยสิ่งหนึ่งคือ ผลของการวิเคราะห์จากสถิติในการทำงานที่ผ่านมานั่นเอง..ลองเอาตัวนั้นมา บวก ลบ คุณ หาร ตัวนี้ดู อาจจะพบว่าเกิดอะไรขึ้นกับคลังสินค้าของเรา..แต่ไม่ใช่การ บวก ลบ คุณ หาร ปกตินะครับ แต่ต้องผ่านตรรกะเหมือนกันนะครับ เช่นการใช้สถิติมาเทียบเคียง, การใช้ Linear programming มาช่วยคิดว่าแนวโน้มหรือ Trend ของข้อมูลมันผันผวนแบบไหน มีปัจจัยอะไรที่คอยหนุนเนือง เช่น..ถ้าคุณขายรองเท้าของคนแก่ คุณอาจจะไม่สามารถเอาความนิยมของรองเท้าวัยรุ่นมาเทียบได้.. แต่หากคุณยังเอามาเทียบกันอยู่แล้วถามแต่ว่า จะจัดการมันอย่างไรนั่นแสดงว่าคุณไม่รู้จักตัวเองเอาเสียเลย..อาจจะทำให้ทำงานผิดทางไปนะครับ อันตรายมาก ๆ …..

.

ดังนั้นหากอยากรู้จักตัวเองเดี๋ยวกับงานคลังเยอะ ๆ ต้องทำ 3 สิ่งง่าย ๆ ครับ คือ ค้นคิด วิเคราะห์ และแยกแยะ ให้ชัดเจน..ว่า เราเจอกับอะไร และอะไรคือต้นตอกันแน่และแก้มันให้ตรงจุดซะ…ด้วยการทดลองที่ดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้วคุณจะพบเองว่า คลังคุณนั้น ดียังไง และถนัดอะไรกันแน่…บางทีการพัฒนาไปทางใดทางหนึ่งอย่างต่อเนื่องมาก ๆ อาจจะทำให้การพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเกิดขึ้น อย่างเช่น บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย เช่น ปตท, SCG, Toyota

.