นักเรียนรุ่นล่าสุด

จบไปกับ Workshop “Basic Solution Design and Cost Model”

อันดับแรกต้องขอขอบคุณทุกท่านที่เข้าร่วมกิจกรรมรุ่นล่าสุด นะครับ หลาย ๆ ท่าน ได้ เรียนตั้งแต่ การวางโครงสร้างความคิดในการวิเคราะห์ต้นทุน (4P) การวิเคราะห์ Productivity การหาต้นทุนการจัดการงานคลังสินค้า ไปจนถึงตั้งราคากันอย่างไรดี ให้ขายงานคลังได้…เป็นต้นนะครับ

จาก Feedback ที่ได้จากผู้เรียน ต้องบอกว่า รู้สึกปลื้มใจมที่สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ ให้แก่ผู้เข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความรู้จากผู้ที่ทำงานอยู่ในคลังสินค้า หรือบางท่านที่เป็นเจ้าของกิจการและต้องการเสริมทัพด้วยการจัดการคลังด้วยต้นทุนที่เหมาะสม

ตอนนี้ขออัพเดทว่า ทางเพจได้ออกแบบคลาสที่จะช่วยให้การทำงานรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน ของงานคลังให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเป็นทั้ง ทฤษฎีและมี board game ให้เล่นกันในห้อง โดยประโยชน์หลักเพื่อต้องการให้ผู้ร่วม workshop ได้ วางแผนการทำงานคลังสินค้าภายใต้ budget ที่วางแผนไว้ รวมทั้งพร้อมรับกับสถานการณ์ต่าง ๆ ผ่าน เกมส์ จำลองสถานการณ์  ทางเพจจะแจ้งถึงกำหนดการณ์ให้ทุกท่านทราบอีกครั้งนะครับ

แล้วพบกันไม่นานเกินรอครับ…

#warehousemanagements, #Basicsoluitondesignandcostmodel, #Operationandcostmanagement, #พื้นฐานการออกแบบคลังสินค้าและประเมินต้นทุน, #การงานและการจัดการต้นทุนคลังสินค้า,

ค่อย ๆ พูด หนะ ค่อย ๆ พูด….

.

ความสุภาพและไพเราะของน้ำเสียงในการบอกงานต่อกันนั้น เป็นน้ำใจอันดีงามที่สะท้อนถึงความเข้าอกเข้าใจกัน..แต่เวลาเอาเข้าจริง ๆ ไม่รีบ หรือไม่มีปัญหามันก็ให้น้ำใจกันได้ แต่หากว่าปัญหาเกิดหละ…แทบจะฆ่ากันเลย…ไม่รู้ทำไม…แต่ได้ยินประจำครับ บางทีหนักข้อเข้า เกลียดขี้หน้ากันไปเลย…แต่เอาจริง ๆ แล้วมาเข้าสาระกันดีกว่านะครับ…

.

การจะจ่ายงานให้กับเพื่อนไม่ว่าจะเป็นการหยิบสินค้า หรืองานรับสินค้า ก็คงไม่แตกต่างกัน..ต้องมีแผนงานก่อน ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่แล้วว่า วางแผนเรียบร้อย คราวนนี้ ถ้าเป็นแบบโบราณก็ต้องมีการแยกงานออกจากกัน เป็นหมวดหมู่ และ ขั้นตอนการทำงาน เช่น การรับสินค้า สินค้าที่กำลังเดินทางมายังคลัง สินค้าที่ตรวจสอบสภาพเสร็จ หรือ สินค้าที่รับไปแล้ว อันนี้เราต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน..แยกเป็นวัน เวลา ขั้นตอนการทำงาน…ต้องแยกอย่างละเอียดนะครับ เพราะ หากว่าแยกไม่ละเอียด และเราหลุดทำไม่ครบทุกขั้นตอน บางที การทำงานไม่สมบูรณ์นะครับ ก็รับของได้ไม่เรียบร้อย หรือจ่ายของไม่เรียบร้อย…

.

การแยกเอกสารหลัก ๆ มีอะไรบ้าง.ก็ตามงานเลยครับ

การรับสินค้า à การตรวจสอบสินค้า à การรับสินค้าเข้าระบบ à การรวบรวมเอกสารเพื่อจัดเก็บหรือส่งให้ลูกค้า (อาจจะ Scan ส่งเข้าระบบ)

การจ่ายสินค้า à ใบคำสั่งหยิบ (หากมี) à ใบหยิบสินค้า à ใบหยิบสินค้าที่หยิบเสร็จสิ้นแล้ว à เอกสารเตรียมส่ง à ใบเสร็จรับเงิน à ใบยืนยันการรับสินค้า à รวบรวมเอกสารส่งให้ลูกค้า

การรับสินค้าคืน à เอกสารยืนยันการรับคืนสินค้า à เอกสารยืนยันการรับสินค้า à เอกสารส่งคืนลูกค้า

.

ในคลังกับโรงงาน หากเทียบเป็นขั้นตอนการทำงานแล้วแทบจะไม่ต่างกัน แต่เท่าที่เห็น ๆ มา ในโรงงานจะมีระเบียบชัดเจน และเรียงเก็บอย่างเรียบร้อย เพราะการสอบกลับนั้นเกิดขึ้นเสมอ ดังนั้นหากอยากสอบกลับได้ไว การจัดเก็บที่ดีจึงมีผลมาก ๆ

.

ดังนั้นหากจะต้องจ่ายงานให้แก่กัน อย่างเพิ่งทำแบบส่งให้เพื่อนเฉยนะครับ รบกวนช่วยวางแผนก่อน แล้วค่อยแจกจ่ายให้แก่กันนะครับ งานจะง่ายยากก็ตรงนี้แหละครับ แค่คุยกันนี่แหละ

.

คุยกันดี ๆ มันก็ช่วยได้

.

โลกทุกวันนี้การสื่อสารอยู่เพียงปลายมือ ถ้าเป็นเมื่อสัก 10 ปีที่แล้วนั้น อาจจะได้แค่ได้ยินเสียง แต่ทุกวันนี้ง่ายมากๆ แถมเห็นหน้าอีกต่างหาก เชื่อไหมครับ เมื่อก่อนหน้านี้นั่น การจะคุยกันที่ต้องเขียนจดหมายหรือไม่ก็ โทรเลขครับ…ไม่ได้มาเล่าเรื่องการสื่อสารนะครับ แต่อยากจะมาเล่าเรื่องการสื่อสารในการทำงานมากกว่า…..

.

การทำงานร่วมกันเป็นทีมคงหนีไม่พ้น ไม่ว่าจะการทำงานอะไร หากคุณไม่สามารถทำกิจกรรมนั้นด้วยตัวคนเดียว การคุยกันให้รู้เรื่องถือเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ นะครับ ดังนั้นผมจึงออกแบบการทำงานให้เริ่มต้นด้วยการคุยกันเสมอมา…จะเรียกว่า คุยทุกเช้า กลางวัน หรือก่อนกลับบ้าน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนะครับ เพราะการคุยกัน จะทำให้สามารถไปทางเดียวกัน….ทุกวันนี้คุณอาจจะบอกว่า ก็พิมพ์ทิ้งไว้ใน ไลน์สิ ง่ายดี…ก็ไม่เถียงนะครับ แต่ผมว่า การดูเรื่อง ๆ เดียวกันพร้อม ๆ กันมันต้องมาเจอหน้ากันถึงจะไวนะครับ…

.

ทุกวันอาจจะต้องเอากระดานสักตัวมาดู แล้วเขียนออกมาว่า มีงานอะไร ที่เหลือจากเมื่อวาน และก็มีอะไรที่กำลังจะเข้ามาปะทะในเวลาอันใกล้ หรืออยากจะสื่อสารอะไรให้ทำ….ดูง่าย ๆ แต่ไม่ง่าย นะครับ เพราะ ความจริงแล้วมันคือกระดานที่ค่อยเตือนใจเสมอว่า อะไรที่ยังไม่ทำ….จดด้วยมือ จำได้แม่น…แต่จากการมองข้ามก็ทำให้ลืมกันไป…

.

จากประสบการณ์นะครับ เคยมีครั้งหนึ่งในการทำงาน หัวหน้างานของทีมงาน ไม่ยอมประชุมกับน้อง ๆ ในทีม วันแรก ๆ ก็ชิว ไม่เห็นมีอะไรเลย… แต่เชื่อไหมครับ ไม่เกินสัปดาห์เดียวเอง…ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจริง ๆ ครับ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าวันนี้ต้องทำอะไรนะครับ แต่สิ่งที่ลืมไปรุนแรงกว่านั้นคือ “การพูดคุยกันในเรื่องงานที่มีเป้าหมายเดียวกัน”..พอถึงเวลาที่งานเสร็จ ก็ไม่สนใจอีกทีมว่าทำเสร็จไหม สุดท้ายก็ชิวกลับบ้าน เพื่อนทำงานไม่ทันก็ไม่รู้ไม่สนใจ…(อันนี้ไม่รู้ชาติอื่นเป็นไหม..แต่คนไทยนี่ ใช่เลยครับ) พองานเพื่อนไม่เสร็จ แล้วไม่มีใครมาเสริม…ก็ทำให้งานของคนถัดไปไม่จบเช่นกัน..ต่อไปเป็นลูกโซ่ ….ซึ่งอันนี้ก็เป็นข้อหนึ่งที่ทีมที่ทำงานไม่ทันชอบ เพราะอยู่ได้ดีเลยโอทีเพียบ…แต่เชื่อเถอะครับ ไม่มีใครอยากทำแต่งานคลอดทั้งวันทั้งคืนหรอกครับ…เคยเจอบางทีมงาน ทำโอ วนกะ จนกลายเป็น วันนึงทำงาน 18-22 ชม แค่นี้นะครับ ไม่เกิน 3 วัน เห็นลาออกกันหมด…(อย่างที่บอกนะครับไม่รู้ว่าชาติอื่นเป็นไหม แต่คนไทย….เพียบ) เจอมันวนไปจนเป็นวัฏจักรเลยครับ ดังนั้นลองดูนะครับ คุยกันก่อนเริ่มงานในทุกช่วง วางแผนกันให้ดี และทำงานให้จบด้วยทีมงาน ทุกคนเป็นทีมเดียวกัน…หนีไม่พ้นหรอกครับ เพราะงานมันต่อกัน…

.
โปรดอย่าทำการคุยกันเพราะมันเป็นเรื่องที่ “นายสั่ง” หรือ “เค้าทำ ๆ กันมา” อันนี้ก็คนไทยไป…ทำไปงั้น ๆ ให้หมดไปวัน ๆ …เชื่อไหมครับทำงานกับเด็กพม่า (เมียนม่า) นั้น ผมยังรู้สึกถึงความกระตื้อรื้อร้นของเค้ามากกว่าคนไทย อาจจะเพราะเค้ามาจากต่างถิ่น..หรือ อาจจะเพราะอยากได้เงิน แต่เชื่อไหมครับ ผมเจอพวกเค้าส่วนใหญ่ เค้าอยากได้งานเยอะ โอทีเยอะจริงๆ แต่เค้าไม่ค่อยดึงงานเท่าไหร่ (อันนี้ประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ สงสัยกลัวโดนส่งตัวกลับ) ลองเปลี่ยนตัวเองใหม่ครับ มันคือเวทีหัดพูดสำหรับหัวหน้างาน ที่วันนึงคุณจะโตขึ้น เมื่อคุณโตขึ้น คุณจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องพูดกับคนมาก ๆ

.

ไม่มีใครเก่งหรอกครับ ถ้าไม่อยู่ในฝูงชน ข้อคิดนี้ผมได้จาก กอเหลาซินแซ ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์….เก่งไม่เก่งไม่รู้ แต่รู้ว่ากอเหลาซินแซนั้น ก็จอมทัพคนนึงของ CP เลยหละครับ….ดังนั้น การฝึกฝนตัวเองให้ควบคุมหรือดูแลฝูงชนได้นั้น ก็คือ ความเป็นผู้นำของคุณนั่นเอง…

.

การย้ายสินค้าแบบต้องมีคนขับ

.

ความยากง่ายของการบังคับรถตักของ ไม่เคยใช้คงไม่เคยรู้ว่ามันไม่ง่าย…ปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าใคร ๆ จะไปแต่ อัตโนมัติหรือกึ่งอัตโนมัตินะครับ เพราะสัญญาที่ช่างสั้นเหลือเกินเมื่อเทียบกับค่า ใช้จ่ายต่อเดือนหรือค่าผ่อนนั้น ทำให้ผู้ให้บริการจะต้องลงทุน หรือตัวโรงงานเองจะต้องลงทุน ดังนั้นก็เลยพยายามที่จะไม่เปลืองต้นทุนต่อเดือนที่เห็นจะจะ แต่ระยะยาวนั้นอีกเรื่อง เพราะหลายท่านที่ตัดสินใจก็อาจจะย้ายไปบริษัทอื่น หรือ พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว เลยคิดแค่ว่า งั้นทำให้พอผ่านไปดีกว่า…อันนี้ไม่ใช่นิสัยของข้าราชการนะครับ คนเรานี่แหละครับ จะคนไทย หรือชาติใด ๆ เรื่องการเอาตัวรอดนี่ ซุนวูยังยกให้ “การหนี คือ ยอดกลยุทธ” เลย ส่งผลให้ อุปกรณ์ที่จะต้องใช้พนักงานขับรถยังคงเป็นที่นิยมและใช้งานกันอยู่

.

ตัวหลักที่ฮิตในท้องตลาด คงไม่พ้น Reach truck, Power pallet Truck, Forklift, Counter balance, Power Stacker

Reach truck จะเป็นรถยกสูงบนพื้นเรียบ เน้นนะครับว่าพื้นเรียบ…

Power Pallet Truck จะเป็นรถที่ยกสูงไม่ได้ เพียงยกแค่ระดับที่ทำให้พาเลทไม่ถูกลากไปกับพื้นขณะวิ่ง และเน้นใช้งานในการเคลื่อนพาเลทในแนวราบ

Forklift กับ Counter Balance นี่ จนถึงทุกวันนี้ผมยังมองหาความแตกต่างไม่เจอ ในแง่ของการใช้งาน แต่จะใช้แบบวิ่งทั่วไป หรือเข้าตู้คอนเทรนเนอร์ได้นั้นก็อีกเรื่องนะครับ

Power Stacker มีลักษณะคล้ายกับ Reach Truck แต่ว่า จะยกได้ค่อยข้างต่ำ เช่น การยกวาง 2-3 ชั้น ซึ่งการยกวางพาเลทต่อพาเลท (Double Stack) นั้น หากใช้รถ reach truck จะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเกินไปนะครับ ..

.

อันนี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ นะครับ หากสนใจในเรื่องอุปกรณ์เคลื่อนที่ทั้งหลายนั้น ลองศึกษารูปแบบ Rack แล้ว ลองหาเครื่องมือมาเทียบดูครับ เราจะต้องหาข้อมูลมาตอบตัวเองก่อนว่าจะอะไรในการจัดการ ระหว่างค้นหาไปนั้นจะได้เจออะไรอีกเพียบครับ

.

https://www.youtube.com/watch?v=nChgfwVQNfw.

อย่าแปลกใจนะครับว่าทำไม วิดีโอดูโบราณจัง คือต่างประเทศเนี่ยะ ใช้งานกันมานานไม่แพ้เมืองไทยเลยครับ ขนาดเมืองไทยยังใช้มานานกว่า 10 ปีเลยครับ…

.

การย้ายสินค้าแบบกึ่งอัตโนมัติอื่น ๆ

.

ไม่รู้จะแบ่งยังไงให้ชัดเจนนะครับ ถือว่าเอามาให้ดูแล้วกันนะครับ เพราะในปัจจุบันมีความหลากหลายของอุปกรณ์เป็นอย่างมาก มากเสียจนเลือกมาไม่ถูก แต่วันนี้จะเลือกในส่วนของการทำงานแบบกึ่งอัตโนมัติมาให้ดูนะครับ ซึ่งการใช้งานของอุปกรณ์เหล่านี้นั้น จริง ๆ ถูกพัฒนาจากการทำงานภายในโรงงานอุตสาหกรรมหลาย ๆ ประเภทดังนั้น จะไม่แปลกที่ทำไมโรงงานดูทันสมัยกว่าคลังสินค้า เพราะการลงทุนของโรงงานเป็นแบบระยะยาว การซื้อของเล่นราคาแพงมาใช้งานย่อมไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่พร้อมจะลงทุน เพราะมันคุ้มในการใช้งานระยะยาว รวมทั้งลดคนในการทำงานได้ด้วยนะครับ

.

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการคิดค้นสารพัดเพื่อเพิ่มลูกเล่นในการขนย้ายสิ่งของจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ปัจจัยคงไม่พ้นการเพิ่มประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ และความสามารถที่ทำให้ช่วยให้คนขับหยิบสินค้าได้อย่างหลกหลายขึ้นนะครับ ลองดูวีดีโอเป็นตัวอย่างจาก T-Motion ของค่าย Toyota นะครับ น่าจะเรียกได้ว่าเป้น Top Lean Improvement บนโลกแล้วนะครับ แถมบนโลกนี้เองมีหลายยี่ห้อนะครับ ลองเลือกสรรดูนะครับ ตามบริการหลังการขายและความง่ายในการใช้งาน

.

https://www.youtube.com/watch?v=Xf7hqDKdHzg

.

การย้ายสินค้าแบบอัตโนมัติอื่น ๆ

.

เดี๋ยวนี้อะไร ๆ ก็อัตโนมัติไปหมด แทบจะวิ่งเข้ามาที่พื้นที่การทำงานเลย..มันจะมีที่ต้องออกแรงมาก ๆ และเคลื่อนที่เองก็ “พี่ตูน” นี่แหละครับ วิ่งซะยาวเลย…แต่ก่อนจะไปร่วมทำบุญ มาคุยกันเรื่องการเคลื่อนย้ายแบบอตัโนมัติกันก่อนนะครับ อย่างที่เราคุยกันไว้นั้น การเคลื่อนย้ายของเป็นการสิ้นเปลื้องหนึ่งใน 7 Muda (7 Wastes) หากว่าเราไม่ต้องใช้คนในการเคลื่อนที่หละเราจะสะดวกขนาดไหน ไม่ต้องมานั่งพะวงเลย แค่เพียงกดปุ่ม ก็วิ่งไปยังที่หมายทันที มักใช้งานการหยิบสินค้าที่มีรายการเป็นจำนวนมาก ๆ ต้องใส่กล่อง ปิดกล่องให้เรียบร้อย งานพวกนี้ กำลังเป็นที่แพร่หลายในทั่วโลก และประเทศไทยด้วย มีชื่อเรียกว่า E-Commerce…ตลาดกลุ่มนี้กำลังรุกหนักกันสาหัสมาก ไม่ใช่แค่เพื่อการนำของมาขายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น…แต่โลกกำลังเปลี่ยนไปทั้งใบด้วยข้อมูลมหาศาลที่หลั่งไหลเข้าไปในระบบครับ..ขนาดประเทศ Facebook ยังมีประชาชนกว่า 7,000 ล้านคนเลยทีเดียว…..จะว่าไปสงครามในอนาคตคงไม่ใช่การยิงกัน แต่เป็นรูปแบบการสูบเลือดเนื้อมากกว่า ที่จะสูบจากพฤติกรรมของเราเอง…เดี๋ยวจะยาวเกินไป กลับมาที่ระบบเคลื่อนที่อัตโนมัติที่ Ecommerce ใช้ดีกว่า..

.

ระบบที่เรียกว่า AGV หรือ Auto Guide Vehicles แปลตรง ๆ ก็คงต้องบอกว่า ก็คือ เครื่องเคลื่อนย้ายที่วิ่งตามทางด้วยตัวเอง (บ้าน ๆ นะครับ) การทำงานก็คือ ตัวเครื่องเองจะมีอุปกรณ์นำทาง (ที่ไม่ใช่ GPS เพราะความละเอียดของ GPS อาจจะยังไม่พอ เมื่อเทียบกับขนาดของคลังสินค้า) และก็อ้างอิงตำแหน่งจากอุปกรณ์ที่ส่งสัญญาณนั้น ๆ ทำให้ตัว AGV เองเคลื่อนที่ไปตามระบบ…หลัก ๆ ตอนนี้ก็มี 4 แบบนะครับที่ใช้อ้างอิง

  1. ใช้ Laser ส่งสัญญาณสะท้อนไปมาจากกำแพงสู่ตัว AGV
  2. ใช้ Contour หรือการตรวจสอบระนาบพื้นที่ เพื่อดูว่าอยู่ในตำแหน่งไหน เช่นการเทียบเคียงตำแหน่งเสาใน Rack
  3. ใช้ Magnetic หรือคลื่นแม่เหล็กในการนำทางแบบวางจุดบนพื้นแล้วให้เครื่องจำตำแหน่ง
  4. ใช้ Optical or Magnetic Tape and Wire คือใช้ระบบราง หรือ แม่เหล็กนำทางคล้ายกับราง และเครื่อง AGV ก็วิ่งตามไปไปตามแนวนั้น

โดยรวมแล้วนั้น อุปกรณ์พวกนี้จะมีทั้งแบบสั่งจากระบบ หรือ สั่งจากตัวเครื่องโดยตรง…ขึ้นอยู่กับวิธีการทำงานและประเภทของการใช้งานนะครับ ผมได้ลองนำ Clip VDO มาให้ดูเพื่อเพิ่มความเข้าใจมากขึ้นนะครับ ตามลิงค์เลยครับ

.

.

จากที่ตอนนี้ประเทศไทยประสบปัญหาเรื่องแรงงานที่ขาดแคลนอย่างหนัก การศึกษาที่ทำให้คนไทยไม่สามารถทำงานแบบการใช้แรงงานพื้นฐาน รวมทั้งเงินเดือนก็ไม่ตอบสนองแรงงานสมัยใหม่แล้ว รวมทั้ง แรงงานต่างด้าว ก็ไม่สามารถทดแทนเรื่องการทำความเข้าใจให้ตรงกันได้นั้น การเลือกอุปกรณ์ที่ทำงานได้ด้วยการออกคำสั่งแก่ระบบนั้น อาจจะมีต้นทุนในการลงทุนครั้งแรกคงสูงนะครับ แต่เราจะเห็นชัดเจนเลยครับว่า CAPEX สูง แต่ OPEX ต่ำ บางทีมันก็ทดแทนในระยะยาวได้…มันช่างน่าเย้ายวนใจจริง ๆ นะครับ….ว่ามั้ย….

.

ผมเคยบอกน้อง ๆ ที่ทำงานด้วยเสมอว่า “โลกใบนี้มันหมุนทุกวันเลยไม่งั้น พระอาทิตย์ก็จะไม่ขึ้นในวันถัดไป…ดังนั้นหากเราไม่ก้าวไปข้างหน้า เราก็จะตกโลกนี้ไปอย่างน่าสะพรึ่ง” สุดท้ายแล้ว น้อง ๆ แทบจะจากผมไปหมดแล้ว แม้นจะสอนเชิงป้อนให้ แต่น้อง ๆ ก็คงมองว่า บ้าอะไร ทำไมต้องฝึกนั่นนี่.. พอมาวันนี้เลยไม่รู้ว่าน้อง ๆ เป็นอย่างไรบ้างแล้ว เดินกันถึงไหนแล้ว…ขอให้โชคดีนะครับ

.

อ้างอิงแหล่งความรู้จาก http://www.roboticautomation.com.au/agvs

.

การวางสินค้า (Storage) ตอนที่ 9

.

เมื่อวาง Drive In Rack หรือ Selective Rack ในพื้นที่ และจะให้เคลื่อนที่แบบสั่งได้ตามที่ต้องการหรือเร่งให้เร็วกว่าที่จะไหลตามปกตินั้นก็จะมีหลายวิธีเช่น หาอุปกรณ์ไปยกออกมาจาก Drive In Rack หรือจะ หาเครนไปเทียบข้างช่องเก็บของ Selective Rack แล้วส่งเครื่องมือยกไปสอดด้านใต้แล้วยกมาใส่เครน แล้วเครนก็ลากออกมาส่งด้านนอกพื้นที่เก็บสินค้าเพื่อส่งมอบให้กับการทำงาน..

.

หลักการง่าย ๆ แต่เข้าใจยาก เพราะ หากคุณเคยออกแบบคลังสินค้าที่ไม่มีระบบอัตโนมัติ คุณจะเผื่อระยะรูปแบบหนึ่ง แต่หากคุณทำคลังแบบอัตโนมัติ จะต้องเผื่อการระยะของสิ่งต่าง ๆ อีกแบบหนึ่ง ดังนั้นหากจะออกแบบให้ดี คงต้องไปดูแบบของอุปกรณ์ต่าง ๆ อีกครั้ง เพื่อเทียบเคียง..ที่สำคัญ เมื่อก่อนเราอาจจะออกแบบเพื่อให้รถ RT วิ่งให้สั้นที่สุด แต่ปัจจุบันเราต้องออกแบบให้ทางวิ่งของเครนยาวที่สุด เพื่อลดจำนวนเครนลง และเพิ่มจำนวนช่องหยิบให้แก่เครนมากขึ้น ทำให้คลังเปลี่ยนรูปแบบไปเยอะ รวมทั้งการจัดเตรียมสินค้าเพื่อรอส่งนั้นก็จะใช้พื้นที่น้อยลงเพราะหากสามารถจัดเรียง-สั่งเบิกได้ง่ายขึ้นแล้วนั้นจะพบว่าบริษัททำงานแบบ 24 ชม ง่ายกว่าการทำงานแค่กะเช้าเพียงอย่างเดียว เพื่อลดประตูขนสินค้าและปริมาณค่าล่วงเวลา (OT) ลงได้ อย่างเห็นได้ชัดนะครับ

.

ดังนั้นหากคุณเป็นผู้ผลิตที่ต้องการประหยัดพื้นที่จัดเก็บ มีความต้องการจัดเก็บสินค้าที่มากขึ้น และใช้งานอุปกรณ์พวกนี้เป็นเวลานาน ๆ นั้น เมื่อเลือกใช้ไปแล้ว ณ วันนี้อาจจะใหม่ แต่ในอนาคตอาจจะเก่า หากแต่เอาจริง ๆ แล้วนั้น พบว่า การลงทุนที่ทำลงไปนั้นคุ้มค่ามาก ๆ ในระยะยาว และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดเก็บที่พลิกโฉมนั้นไม่ได้เกิดทุก ๆ 10 ปีแน่นอน ใช้จนคุ้มแล้วขายยังเหลือเงิน…แต่หากเป็นธุรกิจกลุ่มให้บริการจัดเก็บและจัดจ่ายสู่ปลายทางนั้นต้องดูเรื่อง Contact term มากๆ และละเอียดรอบคอบครับ หากพลาดไปทีไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอันนี้เรื่องใหญ่ครับ

.

ปัจจุบันนี้บริษัททำ Rack ในประเทศไทยได้เปิดรับเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้งานอย่างแพร่หลาย ทั้งสร้างระบบเอง หรือ จะเป็นการร่วมงานกันระหว่างบริษัทไทยกับต่างชาติ..ดังนั้นมีให้เลือกมากมายถือเป็นโอกาสอันดีที่จะศึกษาผลได้ผลเสียจากระบบอัตโนมัติเหล่านี้นะครับ

.

ขอจบซีรี่ย์เรื่องการจัดเก็บไว้เท่านี้นะครับ หากมีตัวอย่างดี ๆ ผมจะเอามาแชร์ให้ดูนะครับว่า มีอะไรใหม่ ๆ ให้เรียนรู้ครับ ส่วนเรื่องถัดไปน่าจะเอาระบบขับเคลื่อนที่ฮิตใช้กันมาให้ได้อ่านกันต่อนะครับ

.

ผมไปเจอวีดีโอดี ๆ จากลิงค์นี้ครับ

Elite Storage Solutions LLC / https://www.youtube.com/watch?v=r4ekwTShuyo

Schafer: https://www.youtube.com/watch?v=4HWppMe06WQ

ชัดเจนดีครับ ดูแล้วเข้าใจง่ายเลย ตั้งแต่การสร้างพื้นที่จัดเก็บจนกระทั้งตั้ง Rack จนเสร็จสิ้นครับ และยังมีรูปแบบการเคลื่อนที่แบบ Motion Camera นะครับ เพื่อเพิ่มความเข้าใจมากที่สุดนะครับ….ในอนาคตเราคงจะได้เห็นคลังใหม่ ๆ มีทรงสูงมากขึ้น และเปลี่ยนจากแนวหน้าคลังกว้าง ลานเข้าออกเยอะ กลายเป็นคลังยาว ๆ ครับ

.

การวางสินค้า (Storage) ตอนที่ 8

.

จะว่าไปแล้วเรื่อง Automation ที่กำลังไล่เล่าให้ฟังอยู่นั้น บางทีอาจจะมีมุมมองว่า จะต้องใช้ “ไฟฟ้า” เท่านั้น แต่ความจริงแล้วการสรรค์สร้างอุปกรณ์การทำงานที่อัตโนมัติ แบบนี้มีมานานแล้ว โดยใช้วัตถุสิ่งหนึ่งคือ “ลูกกลิ้ง” และ “แผ่นเลื่อน” เพื่อให้สินค้าเคลื่อนที่ไปยังจุดหมายที่ต้องการ

.

ลองนึกถึง Drive In Rack นะครับ ปกติเราจะต้องขับรถตักเข้าไปวางสินค้าในรองที่เตรียมไว้ แต่ถ้าหากว่าเราเอาลูกกลิ้งไปใส่ในรางหละครับ และเอียงแนวรางนิดหน่อย ในระดับที่พาเลทสามารถไหลลงมาเองได้ จะพบว่า พาเลทจะไหลไปอีกฟากหนึ่งของ Rack ได้ทันที Rack ประเภทนี้เราเรียกว่า “Flow Rack” หากว่า สินค้ามีน้ำหนักเบา ก็อาจจะไม่ใช้ลูกกลิ้งแต่ใช้เป็นแทบเลื่อนคลายสายพานแล้วมีมอเตอร์ไปขับเคลื่อน ก็จะพบว่าสินค้าก็สามารถไหลไปได้เหมือนกันนะครับตามทิศทางที่กำหนด…

.

ส่วนอีกแบบคือ อีกแบบคือ การใช้แผ่นเลื่อนรองพาเลท และสามารถไหลต่อไปอีกทางได้ หากว่าไหลไปอีกทางก็เรียก Flow Rack แต่หากว่า ไหลเข้า แล้วเวลาตักพาเลทออกจากจุดที่ใส่พาเลทเข้าไป แล้วพาเลทถัดไป ไหล “กลับ” มาแทนที่ อันนี้เรียกว่า Push Back Rack นะครับ…ใช้กันแบบต่างกรรมต่างวาระครับ..Flow Rack ใช้พื้นที่ เยอะกว่า Push Back เพราะสินค้าจะเข้าออกคนละทาง แต่ Push Back สินค้าจะเข้าออกทางเดียวกัน ซึ่งความแตกต่างนี้เองจะต้องรู้ก่อนว่า Batch Size ใหญ่แค่ไหนครับ หากว่า ใหญ่มากและควบคุมได้ก็เลือกได้เลยครับว่าจะเอาสะดวกหรือประหยัดที่ ถ้าเอาสะดวกก็ Flow Rack ถ้าพื้นที่น้อยก็ Push Back Rack นะครับ

.

พื้นที่ในการจัดเก็บเท่ากับ Drive In Rack เลยครับ หากแต่จะต้องลงทุนเพิ่มเติม…แล้วมันมีประโยชน์กว่า Drive In Rack จนถึงขั้นต้องลงทุนไหม..มองในแง่จำนวนพาเลทที่ได้ก็ไม่เท่าไหร่ครับ แต่หากมองเรื่องความปลอดภัยในการทำงานด้วยหละก็ ถือว่าเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างคุ้ม เพราะพื้นที่จัดเก็บด้านใน Rack ไม่ค่อยช้ำ เพราะไม่มีใครเข้าไปชน…แต่เรื่องความวุ่นวายในการจัดการหากจะต้องหยิบพาเลทด้านในก็คงวุ่นวายไม่ต่างจาก Drive In Rack ครับ

.

จากการใช้งาน หากเราย่อขนาดของ Flow Rack ลงก็จะนำไปประยุกษ์ใช้กับการทำงานระดบัคนหยิบได้นะครับ ด้วยการนำกล่องมาไหลแทนพาเลท และลดขนาดลง ทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและความจุของการหยิบสินค้า แนวโน้มในอนาคต หากต้องการประหยัดพื้นที่จัดเก็บ และทำอะไรให้ง่าย Drive In Rack ที่ผ่านการประยุกษ์ก็จะตอบโจทย์เป็นอย่างมากเพราะสามารถลดการเคลื่อนที่จากการแรงงานภายในคลัง, ค่าเช่าพื้นที่, ไฟฟ้าแสงสว่าง..ดังนั้นหากพบแล้วว่าใช้งานได้ อย่าพลาดโอกาสลองศึกษาและนำไปใช้นะครับ

.

การวางสินค้า (Storage) ตอนที่ 7

.

ASRS คืออะไร.. automated storage and retrieval system อันนี้คือคำเต็ม ๆ นะครับ ดูวิชาการยังไงก็ไม่รู้นะครับ…จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรมากนะครับ หลักการง่าย ๆ อย่างที่บอก จำไว้นะครับ Automation กับ manual ก็ทำงานเหมือนกัน คือ เพิ่มความแน่นอนในการจัดเก็บและเคลื่อนย้าย ตามแนวทางการทำงานและจัดจ่ายไปยังปลายทาง…ดังนั้น ASRS จึงเป็นคำย่อที่เกี่ยวกับการจัดเก็บนั่นเอง…ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็น รูปของ Rack ที่วิ่งด้วย Crane อย่างเดียวนะครับ ต้องบอกว่า Rack ที่มี Crane วิ่ง น่าจะเป็น ASRS ในแนวทางหนึ่งเท่านั้น…นะครับ

.

คราวนี้ผมจะเริ่มจากตัวที่ดูง่าย ๆ ก่อนนะครับ คือ เอา Selective Rack มาลดช่องวิ่งให้เล็กลง และใส่ Crane เข้าไปวิ่งในช่อง แล้วทำตัว Robot เพื่อตักสินค้าจากช่องเก็บออกมา เมื่อได้สินค้าแล้ว Crane ก็วิ่งมาส่งที่จุดนัดพบ ก็รับสินค้าออกมาแล้วนไปจัดจ่ายออกไปตามปลายทางที่กำหนด…จากหลักการคงเห็นแล้วว่า จริง ๆ แล้ว พื้นที่จัดเก็บไมได้เปลี่ยนเลย แต่เปลี่ยนการเคลื่อนที่ของสินค้ามากกว่า เช่น การปล่อยให้พาเลทไหลไปตามเวลา, การใช้โครงสร้างใหญ่ ๆ เคลื่อนย้ายสินค้าโดยไม่พึ่งพาคน…หากเราทำ pallet ไปซ้อนกันในชั้นถัดไป ก็จะเป็น Double Deep Rack กับ Shuttle Robot นั่นเอง…

.

คิดง่าย ๆ แต่ทำยากนะครับ หากข้อมูลในการจัดการไม่ชัดเจนหรือไม่ได้ออกแบบให้เข้าใจตรงกันถึงความต้องการจัดส่งที่ถูกต้อง การเลือกอุปกรณ์ก็จะต่างออกไป..

.

การวางสินค้า (Storage) ตอนที่ 6

.

เมื่อเวลาผ่านมา จากการทำงานที่จะต้องใช้เครื่องจักรในการยกที่ขับเคลื่อนด้วยคน หรือการทำงานร่วมกันกับคน อย่างเข่นที่ได้กล่าวมาใน 5 ตอนที่ผ่านมานั้น…ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไป โดยทำให้คนออกจากระบบไป (ซะ) จริง ๆ หลักการคิดคิดแบบนี้ครับ…หลักการจะทำ Automation นั้น เป็นการลดความเคลื่อนที่ที่ไม่มีความแน่นอน…อันนี้น่าจะเป็นคำอธิบายง่าย ๆ ที่ดีกว่านะครับ ผมได้คำนึงที่อธิบายถึงแรงงานในคลังของผู้ใหญ๋ท่านหนึ่งว่า..”แรงงานคือ Obstruct ในระบบคลัง” ฟังแล้วเจ็บมากเลยนะครับ (อาจถึงขั้นตกงานกันเลยทีเดียว) แต่ก็เถียงไม่ออกครับ…วันที่คนคลังเราเซง ๆ เสียหวย ทะเลาะกับครอบครัวมา ทีมโปรดแพ้แล้วเราแพ้ไปด้วย..อีกสารพันเหตุผล ก็คงจะบอกไม่ได้ว่า..คนหรือแรงงาน ยังคงเป็นค่าใช้จ่ายหลัก…ดังนั้นเวลาเรามองจุดต่าง ๆ ก็คงไม่พ้นคำว่า “ทำงานไม่เต็มเวลา” “ทำงานไม่คุ้ม” “มีพักเหนื่อยบ่อยจัง” คำพวกนี้มันมักจะมาหลอกหลอนอยู่เสมอมานะครับ

.

จากคำที่ ผู้บริหารของบริษัทโลจิสติกชื่อดังของโลกเคยกล่าวว่าสักวัน Third Party Logistics-3PL (ผู้ให้บริการโลจิสติกครบวงจร) จะหมดไปจากโลก และผมก็เคยกล่าวไว้ในบทความเก่า ๆ ว่าโลกมันจะแค่เปลี่ยนรูปแบบไป..แต่จากที่ผมได้เจอผู้ใหญ่ท่านที่กล่าวมาข้างต้นนั้น มันมีแนวโน้มจริง ๆ ครับว่า อาจมีสิทธิที่ระบบการทำงานแบบ 3PL จะหมดไปหรือเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว..ดังเช่น แนวทางการทำเกษตร จากในอดีตใช้แรงงานคน แต่ปัจจุบัน นาหลาย ๆ ร้อยไร่ ก็จัดการได้ด้วยการย้ายเข้ามาทำในระบบไม่ใช่เรื่องแปลกอีกแล้ว บริษัท ยักษ์ใหญ่ด้าน หลอดไฟ ปัจจุบันสามารถย้ายผักจากแปลงมาปลูกภายใต้หลอดไฟ สามารถควบคุมได้ทุกอายุ (รายวัน) และคลังสินค้าหละ จะเหลือหรอ…ไม่น่าจะรอดครับ ภายใน 10-20 ปีต่อจากนี้ ในประเทศไทย คงจะเพิ่งเริ่มต้นจนเป็นเรื่องปกติ…

.

จากหลักการคิดว่าจะจัดการเอาคนออกจากระบบ แล้วนำเครื่องมือมาแทนนั้นทำได้จริงไหม….คงต้องตอบว่า จริงบางส่วน และมีบางส่วนยังต้องใช้แรงงานคนอยู่ (อันนี้คือ ณ วันนี้เท่าที่มองเห็นนะครับ) เพราะตลาดการจัดส่งของในประเทศไทยนั้น ขึ้นอยู่กับรูปแบบของ Order pattern (รูปแบบการสั่งสินค้า) และ หากว่า การส่งไปยังร้านค้าย่อยต่าง ๆ เรื่องมีปริมาณมากขึ้นนั้น..ก็คงไม่ต้องหยิบชิ้นในกล่อง (ต้นทุนการจัดการสินค้ายิ่งละเอียดต้นทุนยิ่งแพง เช่นใช้ระบบมาหยิบสินค้าทีละชิ้น กับทีละกล่องนั้น..ทีละชิ้นนี่ต้นทุนมากกว่าทีละกว่ามากโขนะครับ)…อันนี้คิดแค่ลูกค้ายังซื้อของจากที่เดิมนะครับ หากลูกค้าซื้อของจากที่บ้านหละครับ…ผู้ผลิตเปลี่ยนการจัดเก็บเป็นรายชิ้นหละ พัฒนา packaging ไปทางเดียวกันหละก็…..เอาจริง ๆ คือ แทบจะไม่ต้องใช้คนเลยทีเดียว..

.

ในส่วนของเรื่องตกงานและความกลุ้มใจว่า จะมีงานทำไหม ขอพักไว้ก่อนนะครับ..แต่อยากจะเล่าให้ฟังก่อนว่า…Automation ที่ฮิต ๆ มันเกิดจากอะไรนะครับ จากหลักการคิดเรื่องการเอาคนออกนั้น แสดงว่าความเคลื่อนไหวภายในคลังจะต้องถูกแทนที่ด้วย หุ่นยนต์ จะมีทั้ง Fully (สมบูรณ์), Semi (บางส่วน) และทำงานแบบ Satirized หรือ Segregate ก็สามารถเลือกได้ ตามรูปแบบการหยิบนั่นเอง….

.

Fully Automation คือ การที่หนุ่ยนต์เข้ามาแทนที่ แบบที่เราไม่ต้อง Support อะไรทั้งสิ้นระหว่างการทำงาน แค่เพียบใส่ข้อมูลตอนแรก…จากนั้น ก็ทำให้ตลอดทั้ง Supply chain มีข้อมูลการทำงานสอดคล้องกัน ทั้งการจัดเรียง ปริมาณ น้ำหนัก การติด Label คราวนี้ก็โหลดจากท้ายรถ จัดเก็บและจ่ายได้ โดยไม่ต้องใช้คนอีกต่อไป แค่ใส่ Order ให้ถูกต้องเท่านั้น… แต่หากเป็น Semi นั้น ก็ต้องมีคนเข้าไปจัดการบ้างบางส่วน…เช่น ตักของจากหน้าท่าลงสินค้าเข้าไปเก็บที่ระบบ…แนวโน้มในไทยอาจจะเริ่มจากการทำ Semi แล้วค่อย ๆ พัฒนาไปสู่ Fully Automation นะครับ…. เดี๋ยวเราจะมาดูกันว่า Automation ที่ใช้ Logic นี้ในการขับเคลื่อนจะมีอะไรที่นิยมกันอยู่บ้างในตอนหน้านะครับ

.

ตัวอย่างดี ๆ จาก Amazon ครับ

https://www.youtube.com/watch?v=cLVCGEmkJs0

.