.
คำสั้น ๆ สองพยางค์ที่อยู่ใน Job Description ทุกคนที่ทำงานก็จะต้องอ่านให้เข้าใจและทำงานในพื้นที่ที่หน้าที่กำหนดนั่นเอง…อันนี้คือหน้าที่ที่จะต้องทำในทุก ๆ วันของการทำงาน…การทำงานแต่ละปีก็จะถูกกำหนดเป้าหมาย (Goal) ที่จะต้องทำให้สำเร็จในแต่ละปี ตามเป้าที่ตั้ง หากไม่ถึงก็ลดหลั่นเงินได้พิเศษ เช่น โบนัส กันลงไป แต่หากมีอภินิหารจริง ๆ แสดงแสนยานุภาพออกมาได้สารพัด ก็น่าจะได้เงินพิเศษ เยอะกว่าคนทีทำได้ตามปกติ…
.
แต่ทุกวันนี้เท่าที่เจอมันมีทีเด็ดกว่านั้นเยอะ ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ถ้าเจอพื้นที่สีเทาเมื่อไหร่ มันส์เลยครับ…โยนกันเลยทีเดียว มันดูสบายดีครับ งานหมดไปจากตัวทันควัน…รวดเร็ว และง่ายดาย….ปัญหาที่จะพบเรื่องเดียวคือ “จะเอาผลงานที่เป็นงานของเรา แต่โยนให้คนอื่นทำเนี่ยะ” มาเป็นของเรายังไง….มันต้องเนียนจริง ๆ ถึงจะทำได้แบบภูษาไร้ตะเข็บกันเลยทีเดียว…
.
ความมันส์มันอยู่ที่ผลกระทบกับองค์กรมากกว่า ภาพรวมมันดูดี แต่ภาพสะท้อนนี่สนุกมากครับ….เชื่อไหมครับ ไอ่นิสัยแบบนี้ ถ้าองค์กรจัดการไม่ได้นั้น…จะเกิดภาวะ “ความเจริญถดถอย” ขององค์กร อันได้แก่ ทำงานก็ไม่เสร็จ เพราะไอ่คนที่ต้องทำ ก็มีงานล้นมืออยู่แล้ว หรือจะคนก็ออกกันบ่อยมากเพราะ ทนไม่ไหว ยิ่งถ้าเป็นตำแหน่งใหญ่ ๆ หรือยัดเยียดความลำบากแบบเต็ม ๆ พอดีเลยครับ ทีมไม่เกิด HR ทำงานไม่ทัน…มีตายกันทั้งคลัง…
.
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกของแต่ละองค์กร (ก็แปลกใจมานานเหมือนกันว่า “ที่บ้านสอนมาอย่างไร” ทำไมขยันเอาเปรียบชาวบ้านจัง) แต่ก็หนีไม่พ้นจริง ๆ แล้วเราจะทำอย่างไร…มีผู้ใหญ่ท่านนึงสอนมาครับว่า..”หากว่าโดนเอาเปรียบจริง ก็ทำมันให้หมดเลย” ก็เป็นแนวคิดที่แปลกนะครับ แต่หากว่าคุณมองมุมกลับจะพบถึงเส้นทางอันยิ่งใหญ่ทีเดียวกับคำพูดที่ดูโง่ ๆ แบบนี้นะครับ ถามว่าทำไม…เชื่อไหมครับ ผู้บริหารหลาย ๆ ที่ หลาย ๆ คน เป็นพวกที่ทำมาแล้วหลาย ๆ อย่างทั้งนั้น มีน้อยมากที่คนที่ทำอะไรสำเร็จ จะนั่งนิ่ง ๆ ตั้งแต่เยาววัย จนถึงวันที่ยิ่งใหญ่….เส้นทางลำบากในวัยรุ่น จะช่วยให้เราบากบั่น ฝ่าฟันเส้นทางของเราเองได้ “เท่านั้น” อันนี้เป็นเรื่องจริง ที่คนส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จผ่านกันมา….
.
เวลาเราจะประเมินการทำงานของใครสักคน อาจจะต้องรู้ก่อนว่า “หน้าที่” ของเขานั้นคืออะไร ทำได้ครบถ้วนหรือไม่..ทำจริงหรือไม่ ทำแล้วได้อะไรมาบ้าง พัฒนาบ้างไหม มากมายแค่ไหนที่ให้กับทีมงาน..ทำแทนเพื่อนเป็นไหมในวันที่เพื่อนไม่มา โดนเอาเปรียบไหมคนแบบนี้..มันเป็นเรื่องตลก แต่มันเป็นจริงครับ ..และคำเรียกร้องเสมอมาคุณจะได้ยินคือ ผมทำงานดีนะครับ ทำทุกอย่าง แต่เมื่อถามไปว่า ทุกวันนี้ 8:00 – 17:00 คุณทำงานอะไรบ้าง..ก็ไม่ค่อยมีใครเล่าให้ฟังได้หมดนะครับ….
.
มันเป็นเสน่ห์ของชีวิจที่ต้องเจอจริง ๆ ครับ..เมื่อก่อนผมเคยทำโปรเจคให้กับคนคลัง…จากที่เราศึกษาพบว่า ทุกวัน น้อง ๆ จะเข้างาน ช้ากว่ากำหนด 15 นาที เลิกงานเพื่อพักเที่ยงก่อน 15 นาที เข้างานบ่ายสายกว่ากำหนด 15 นาที และเลิกงานไวกว่า 15 นาที ซึ่งเป็นเล่นไปนะครับ..คนคลังเหล่านี้ กินฟรีบริษัทไป 1 ชมการทำงานแล้ว และเมื่อครบเดือนเราจะหายไป 25 ชม นั่นเอง….ผมจึงดำเนินการขอลูกค้าว่า..หากเราสามารถทำงานได้ไวขึ้นเกิน 8 ชม เราจะขอหยุด 1 วัน เชื่อไหมครับ ด้วยความรักของลูกค้าที่รักคนคลังที่ทำงานให้นั้น ลูกค้าอนุมัติให้หยุดได้ โดยไม่ต้องลดเงินเดือน แต่มีเงื่อนไขแค่ว่า..หากมีความจำเป็นทางลูกค้าขอให้มาช่วยโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่อย่างใด ยกเว้นจะมี การทำงานล่วงเวลา..ก็จะจ่ายค่าล่วงเวลาให้ ความอัศจรรย์ของคนงานไทยที่ผมเจอก็ทำให้ไม่เชื่อได้เหมือนกัน เช่น..เพราะหัวโจกที่ชอบส่ง โพยบอลให้แผนกอื่นและมาทำงานสายทุกวัน ถามว่า ทำไมถึงไม่ได้โอที ในช่วงเวลาที่มาทำงาน (8 ชมแรก ก่อน ช่วงเวลาการทำงานล่วงเวลา) …สุดท้ายแล้ว โปรเจคนี้ก็ลมพับไป ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่า เงินเดือนลดไมได้ และ จะจ่ายเพิ่มก็ไม่ได้เหมือนกัน..เรื่องตลกร้ายในชีวิตจริง ๆ ครับ..
.
จากเรื่องที่กล่าวมาแล้วนั้น มองดี ๆ นะครับ ว่าอะไรที่ขาดหายไป…เพียงแค่ 1 ชม ในแต่ละวันที่เข้างานช้านั้น มันคือความไม่เคารพหน้าที่ของตนเองเป็นอย่างมาก…หากคุณเป็นคนที่ต้องเข้างานตามเวลา..มันก็ควรจะต้องตรงต่อเวลา..หากคุณได้รับอนุญาตจากหัวหน้างานเข้างานกี่โมงก้ได้ บางครั้งมันมีเหตุผลของมัน เช่นบางคนทำงานที่บ้านต่อยันดึก รวมทั้งนายก็เป็นคนที่ทำงานด้วยกัน…อันนี้ถือว่ายังอยู่ในหน้าที่นะครับ ตามการตีความ…แต่การทำให้เวลาหายไปวันละ 1 ชม นั้น…ถือว่าไม่ได้ทำ “หน้าที่” นะครับ นี่ยังไม่ได้คุยเรื่องงานที่ต้องทำในแต่ละวันนะครับ เสน่ห์ของคำว่าหน้าที่มันอยู่ตรงนี้นี่เอง ความซื่อสัตย์ก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งในการทำงานเหมือนกัน…
.