วิสัยทัศน์นั้นสำคัญมาก (Vision)

.

วันนี้ (9 ตค 2560) นั้นผมได้มีโอกาสร่วมงานเปิดคลังกระจายสินค้าของกลุ่ม Global house สาขาวังน้อย..บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่..และตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่เป็นศูนย์กลางของประเทศ  Global house เองก็สามารถดำเนินการจัดส่งสินค้าไปยัง ร้านต่าง ๆ ของ Global house เองทั้ง 52 สาขา (สาขาที่ 53 กำลังจะเปิดเร็ว ๆ นี้ครับ)…

.

มาดูรายละเอียอดของคลังสินค้ากันดีกว่าครับ คลังสินค้านี้เป็นคลังสินค้าที่รับสินค้า สองกลุ่มคือ สินค้าที่รับเพื่อทำ Stock และ Crossdocking ซึ่งทำให้สินค้าจะต้องถูกจัดเก็บในคลังสินค้าและบางส่วนเมื่อรับแล้วจ่ายออกไปทันที..มันก็ดูปกตินะครับ..แต่ทีเด็ดของการออกแบบนั้นผ่านวิสับทัศน์ที่กว้างไกลในจังหวะที่เหมาะสมครับ…แบ่งอธิบายเป็นส่วน ๆ แล้วกันนะครับ

  1. คลังสินค้า (Place ตัวที่ 1 สถานที่) : เนื่องจากปริมาณสินค้าที่ต้องการจัดเก็บนั้น…มีปริมาณเทียบเท่ากับ สินค้าบนพาเลทจำนวน 42,XXX พาเลท การออกแบบจึงต้องมีสร้างเพื่อรองรับถึง 43,000 พาเลท หากเลือกจัดเก็บด้วย Selective Rack จำนวน 6 ชั้น จะต้องลงทุนพื้นที่ประมาณ 43,000 ตารางเมตร..หากแต่เมื่อ Global house เริ่มต้นการวางแผนในการเลือกอุปกรณ์เก็บที่น่าสนใจ..อันได้แก่การใช้ ASRS ในการจัดเก็บสินค้า ใช้ lift เพื่อย้ายสินค้าระหว่างชั้น 1 และ 2 ส่งผลให้ Global house สามารถลดขนาดของคลังสินค้าลงเหลือประมาณ 12,000 ตารางเมตร..ลดลงถึง 31,000 ตารางเมตร – หากเทียบเป็นมูลค่าการก่อนสร้าง ณ 10,000 บาทต่อตารางเมตร จะพบว่า Global house ประหยัดเงินค่าก่อสร้างอาคารไปกว่า 310 ล้านบาท…และหาก ASRS คิดที่ 5,000 บาทต่อพาเลท (Selective rack ประมาณ 1,000 บาทต่อพาเลท) ราคาของ ASRS จะเท่ากับ 215 ล้านบาท..นั้นหมายความว่า การลงทุนสร้างที่จำนวนพาเลท 43,000 พาเลทเท่ากัน Global house สามารถประหยัดเงินค่า ก่อสร้างได้ถึง 95 ล้านบาทตั้งแต่วันแรกที่ดำเนินการทำงาน…..
  2. อุปกรณ์จัดเก็บสินค้า..(Place ตัวที่ 2 MHE) : คลังสินค้า หากเทียบที่ Selective Rack ทั่วไปนั้น จะต้องใช้ Reach truck จำนวนไม่น้อยทีเดียว เพื่อวิ่งตักสินค้ากว่า 43,000 ตารางเมตร จำนวนรถคงไม่น้อย…และเงินค่าเช่าหรือซื้อจำนวนรถเหล่านี้ หายวับไปกับตาเลย จริงไหมครับ เหลือแค่การจัดการแนวราบ…หากต้องเข้ารถ Reach truck สักเดือนละ 30,000 บาทต่อเดือน นั้นหมายความว่า Global house ไม่ต้องจ่ายเงินส่วนนนี้ในทุก ๆ เดือน หากเทียบและ น่าจะลดได้สักประมาณ 30 คันก็ตกเดือนละ 9 แสนบาท…
  3. ค่าไฟฟ้า…(Place ตัวที่ 3 Electricity Charging) ตัวนี้อาจจะมองว่า ASRS ใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก แต่หากได้ลองเห็นการออกแบบจริง ๆ จะพบว่า ค่าไฟฟ้าส่วนใหญ่ของคลังสินค้าคือ ไฟฟ้าแสงสว่างกับค่าอุปกรณ์เคลื่อนย้าย รวมกันแล้วกว่า 90% ของคลังทั้งหมด…ลองคิดตามนะครับ ใน ASRS ไม่ต้องใช้คนเข้าไปตัก…แล้วเราจะติดไฟฟ้าแสงสว่างในพื้นที่นั้นทำไม..ก็จบเลยครับ กว่า 50-60% ของค่าไฟฟ้าแสงสว่าง Global house ไม่ต้องจ่าย…(เท่าที่แอบทราบมาค่าไฟประมาณเดือนละ 30,000 บาท เมื่อเทียบกับคลังที่ต้องเปิด High Bay Lamp ถือว่า ประหยัดกว่ามาก จากเดือนละหลักแสนเหลือ 30,000 เห็นภาพชัดเลยนะครับ)
  4. ค่าจ้างแรงงาน (People) นั้น ในอดีตหากเราต้องทำงาน บนพื้นที่กว่า 43,000 ตารางเมตร เราจะต้องใช้คนจัดการเป็นจำนวนมาก..จากสายตาที่ประเมินนะครับ 25,000 case picked per day หรือ 300 ชิ้นต่อคนในชม ที่ ASRS+Sorting System ที่ Global house ใช้อยู่ หากให้คนหยิบธรรมดานะครับ จะได้ประมาณ 80-90 ชิ้นต่อคนในชม หากเทียบสัดส่วนง่าย ๆ จะพบว่า ASRS สามารถให้ความเร็วได้มากกว่า 3 เท่าตัวโดยประมาณ และปัจจุบัน Global house ใช้คนภายในคลังประมาณ 100-150 คน นั่นแสดงว่าหากเราใช้การหยิบแบบคลังทั่วไปจริง ๆ จะพบว่า..เราต้องใช้คนถึง 450 – 500 คนเลยทีเดียว (แอบคิดที่ค่าแรง 350 บาทต่อวันต่อคนนะครับ) ตกลงเดือนนึงจะต้องจ่ายเงินค่าพนักงานกว่า 4 ล้านบาทต่อเดือน..หรือราว ๆ 48 ล้านบาท หักลบกันแล้ว…ทาง Global house เอง จะใช้เงินแค่ 3 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 16 ล้านบาทต่อปี คราวนี้ชัดเลยนะครับ..
  5. ค่าความเสี่ยงที่สินค้าเสียหายหรือการขับรถเฉี่ยวชน (People) บอกได้เลยครับว่า เมื่อไม่มีคนเข้าไปอยู๋ในระบบมาก ๆ ความเสี่ยงก็ลดลงตามครับ…เพราะการวัดเราคงเถียงไม่ออกว่าเครื่องวัดแม่นกว่าคน….อันนี้เลยประเมินยากมากครับ…และหนำซ้ำร้ายกว่านั้นค่า ดูแลระบบ ASRS ยังจ่ายเพียง 3-5% ของราคาที่ซื้อ นั่นหมายถึงหากคุณหาเงินได้มากกว่า 6-8 ล้านบาท คุณก็ไม่ต้องพะวงเรื่อง ASRS จะเสียหายมากมายนัก…(จริง ๆ แล้วแค่ค่า saving ที่ค่าแรงก็สามารถซื้อประกันชั้น 1 ให้ ASRS ได้อยู่แล้ว…
  6. กระบวนการทำงาน (Process) ที่นำเอาระบบของ การจัดการคลังสินค้าอย่างเป็นเครือข่าย และครอบคลุม..อันนี้ผมมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก ๆ สำหรับอนาคตของบริษัท เนื่องจาก ทาง Global house มีทีม In-house IT Development team นั่นหมายความว่า..ระบบจะไม่ต้องจ่ายค่าเช่าระบบจากต่างประเทศ รวมทั้ง สร้างสรรนวัตกรรมจากทีมนี้ได้อย่างไม่สิ้นสุด..ตัวอย่างเช่น การใช้ Minimum stock ที่ หน้าร้าน เพื่อสั่งเปิด order อัตโนมัติมายังคลังสินค้า การ Booking รับสินค้าโดย Supplier ที่ต้องเชื่อมโยงถึงปริมาณคนงานและพื้นที่คลังรวมทั้งประตูรับสินค้าได้อย่างครบถ้วน..รวมทั้งสินค้าทุกตัวจะถูกบันทึก Dimension และ weight ไว้เสมอ เพื่อใช้ในการยืนยันจำนวนตอนเคลื่อนย้ายระหว่างจัดได้อย่างถูกต้อง. รวมทั้งยังมีการนำจอมาใช้สั่งงานแทนการใช้ RDT ที่ผู้ใช้จะต้องเลือก function แต่อันนี้เกิดจากการแยก function ของงานออก ทำให้แต่ละคนไม่ต้องถือกระดาษหรืออะไร เพียงแต่มองคำสั่งในจอ และบนสายพานจะยืนยันน้ำหนักและเลขที่กล่อง ในการเคลื่อนย้าย ระบบจะบันทึกและส่งข้อมูลไปยังส่วนกลางเพื่อประมวลผล…

.

จากวิสัยทัศน์ที่คิดจะสร้างคลังเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจของ Global house นั้น..ทาง Global house เองจริง ๆ ถือว่าจ่ายเยอะมากเลย หากมองเม็ดเงินลงทุนที่ใส่เข้าไปในระบบ ASRS เพียงอย่างเดียว แต่หากมองออกมาแบบ Bird eye view จะพบเลยว่า Global house แทบจะได้คลังสินค้าทีมี ระบบ ASRS มาฟรีเลย เมื่อเทียบกับ นวัตกรรมสมัยก่อน..หากจะกล่าวคงต้องบอกได้แค่ว่า วิสัยทัศน์ จังหวะการลงทุนที่ดีเยี่ยม และผู้ร่วมคิดและสร้างผลงานนี้ ทำให้ Global house สามารถทำสิ่งนี้ได้ อันนี้ต้องขอคาราวะเลยครับ..ไม่ธรรมดาจริง ๆ ใช่ว่ามีคลังเปล่า ๆ แล้วจะมาทำได้นะครับ อันนี้ผ่านการตัดสินใจและวางแผนการสร้างอย่างดีนะครับ จึงออกมาได้แบบนี้..

.

ลองคิดดี ๆ นะครับ หาก Global house เป็นรายแรกในกลุ่มการค้าอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจรที่ลงทุนในระบบนี้ในประเทศไทย และเจ้าอื่น ๆ ยังใช้ระบบเดิมอยู่ (มาสักพัก) คราวนี้เราจะเห็นเลยครับว่า… แค่การวางกลยุทธ์การจัดการคลังสินค้านั้น ทำให้ Global house ลดต้นทุนไปเท่าไหร่…และส่วนต่างนั้นคือไพ่ใบสำคัญเลย ที่ทำให้ Global house สามารถก้าวข้ามไปในขอบเขตของการจัดการที่เจ้าอื่น ๆ ยังไม่สามารถเดินตามมาได้ในตอนนี้

.

เมื่อก่อนผมได้ยินแต่คำว่า..พื้นที่ในไทยมันเยอะ ไม่ได้แพงอย่างที่คิดหรอกจะลงทุนเยอะ ๆ (ASRS) ไปทำไม…มองให้ลึกเข้าไป มันชัดเจนครับ หาก pattern การจัดส่งแน่นอนจริงและต่อเนื่องสอดคล้องกับเวลา (just in time – JIT) แล้วนั้น ASRS ก็ถือว่าเป็นอาวุธสำคัญในการขับเคลื่อนเลยทีเดียว..แต่หากการจัดการคลังนั้น ทั้งช้า ทั้งไม่เร่งรีบอะไร…(มีเยอะนะครับที่ลูกค้าไม่เร่งรีบอะไร) และลงทุนใช้ระบบที่มีราคาสูงขนาดนี้นั้น…คงไม่ต่างกับภาษิต ที่ว่า ขี่ช้างจับตั๊กแตน นะครับ

.

ขอขอบคุณ บริษัท Global house ที่ให้เกียรติร่วมงานเปิดตัวคลังสินค้าอันยิ่งใหญ่

ในส่วนนี้ผมได้สมมุติราคา/ค่าใช้จ่าย จากการสังเกตในการทำงานที่ผ่านมา ๆ นะครับ ไม่ได้เป็นตัวเลขที่ได้รับการยืนยันจาก Global house แต่อย่างใดครับ

.

เครื่องมือจัดการสินค้า (MHE ; Material Handling Equipment)

.
คลังสินค้านั้นจัดการสินค้าที่มีน้ำหนักเยอะหรือจัดการสินค้าที่หลากหลายรูปแบบ เช่น การหยิบสินค้าที่ละหลาย ๆ ตัว หรือหยิบสินค้าลงมาทั้ง พาเลท…การทำงานพวกนี้ จริง ๆ ในอดีตอันแสนนานก็ทำกันนะครับ แต่ว่าทำด้วยแรงคน…ขนของจากล่างขึ้นบนและบนลงล่าง…ทีละกล่อง ทีละกล่อง…ต่อเนื่องจนครบ เมื่อเป็นแบบนี้แล้วนั้น การทำงานก็จะต้องใช้ คนและเวลาที่เยอะเพื่อขนสินค้าให้เข้าที่จัดเก็บ การทำงานด้วยแรงงานคนก็เริ่มจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร เช่นรถยก รถลากจูง ด้วยเชื้อเพลิงทีใช้ในการขับเคลื่อนที่หลากหลาย..

.
หลัก ๆ ในช่วง ๆ นี้ (ปีพ.ศ. 2560) นี้ มีเทคโนโลยีเยอะมาก ๆ ให้เลือกสรร ตามแต่ต้นทุนจะอำนวย..บางทีพร้อมจะลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ก็จะยอมจ่ายแพง เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีขึ้น รวมทั้งทดแทนค่าใช้จ่ายในด้านแรงงานที่ถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรนั่นเอง…การเคลื่อนไหวที่สำคัญที่ทำให้คลังสินค้าสามารถเก็บสินค้าได้เยอะคงไม่พ้น…ความสูง ถ้าเราสามารถยกของขึ้นที่สูง ๆ ได้…ก็เท่ากับเราใช้พื้นที่ในอากาศได้มากขึ้นนั้นเอง….(ลองสังเกตกระป๋องน้ำอัดลมนะครับ ยังเน้นทำให้สูงและผอม เพื่อเพิ่มความจุในการจัดเก็บ) เครื่องมือที่ใช้ยกขึ้นเก็บมีมากมาย…แต่ยังคงต้องมีที่เก็บในอากาศก่อน (เรียกว่า Selective Rack) เมื่อสร้าง Rack แล้วก็ยกขึ้นเก็บ โดยอุปกรณ์ที่ใช้ก็จะมี Reach truck ซึ่งตัว Reach truck เองก็มีหลากหลายแบบและยี่ห้อ…

.

หาก Rack มีระยะการวิ่งปกติ ก็จะเรียกว่า Selective Rack แต่หากมีซ้อน 2 ชั้นก็จะเรียกว่า Double Deep Rack แลหากทางวิ่งแคบลงจะเรียกว่า Very Narrow Aisle Rack (VNA Rack) นั่นเอง…การเลือกประเภทของความสูงของ Rack ความกว้างของ Rack (Aisle Width) จะต้องถูกออกแบบและเลือกตัวที่เหมาะสม เพราะ Reach truck เองก็มีให้เลือกตามความสูงและแคบ รวมทั้ง น้ำหนักยกด้วย..หากแต่สุดท้ายยังต้องเลือกอุปกณณ์ให้เหมาะกับการทำงาน ดังนั้น.จึงมีการผลิต Order picker ที่ผู้ขับจะขึ้นไปกับส่วนยก เพื่อหยิบสินค้าในที่สูงได้เลย…การใช้งานจะต่างกันไปตามการหยิบสินค้า…MHE เองก็ยังมีอีกหลากหลายเพื่อเคลื่อนสินค้าในแนวราบรวมอยู่ด้วย เช่น Power Pallet Truck, Tractor เป็นต้น..

 

ผมยืมคลิปของ Raymond มาให้ลองดูเพื่อเพิ่มความเข้าใจนะครับ (ลองสังเกตนะครับว่า.. คลิปมันเก่ามากแล้ว จริง ๆ พวกต่างประเทศเค้าใช้กันมานานมาแล้วครับ เดี๋ยวจะหาตัวใหม่ ๆ มาให้นะครับ เดี๋ยวนี้ แทบจะทำงานแทนคนได้หมดแล้ว)

Reach truck

https://www.youtube.com/watch?v=kPU0fIqnOOk

Power Pallet Truck

https://www.youtube.com/watch?v=PuHD3ZuxrWM