นักเรียนรุ่นล่าสุด

จบไปกับ Workshop “Basic Solution Design and Cost Model”

อันดับแรกต้องขอขอบคุณทุกท่านที่เข้าร่วมกิจกรรมรุ่นล่าสุด นะครับ หลาย ๆ ท่าน ได้ เรียนตั้งแต่ การวางโครงสร้างความคิดในการวิเคราะห์ต้นทุน (4P) การวิเคราะห์ Productivity การหาต้นทุนการจัดการงานคลังสินค้า ไปจนถึงตั้งราคากันอย่างไรดี ให้ขายงานคลังได้…เป็นต้นนะครับ

จาก Feedback ที่ได้จากผู้เรียน ต้องบอกว่า รู้สึกปลื้มใจมที่สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ ให้แก่ผู้เข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความรู้จากผู้ที่ทำงานอยู่ในคลังสินค้า หรือบางท่านที่เป็นเจ้าของกิจการและต้องการเสริมทัพด้วยการจัดการคลังด้วยต้นทุนที่เหมาะสม

ตอนนี้ขออัพเดทว่า ทางเพจได้ออกแบบคลาสที่จะช่วยให้การทำงานรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน ของงานคลังให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเป็นทั้ง ทฤษฎีและมี board game ให้เล่นกันในห้อง โดยประโยชน์หลักเพื่อต้องการให้ผู้ร่วม workshop ได้ วางแผนการทำงานคลังสินค้าภายใต้ budget ที่วางแผนไว้ รวมทั้งพร้อมรับกับสถานการณ์ต่าง ๆ ผ่าน เกมส์ จำลองสถานการณ์  ทางเพจจะแจ้งถึงกำหนดการณ์ให้ทุกท่านทราบอีกครั้งนะครับ

แล้วพบกันไม่นานเกินรอครับ…

#warehousemanagements, #Basicsoluitondesignandcostmodel, #Operationandcostmanagement, #พื้นฐานการออกแบบคลังสินค้าและประเมินต้นทุน, #การงานและการจัดการต้นทุนคลังสินค้า,

วิสัยทัศน์นั้นสำคัญมาก (Vision)

.

วันนี้ (9 ตค 2560) นั้นผมได้มีโอกาสร่วมงานเปิดคลังกระจายสินค้าของกลุ่ม Global house สาขาวังน้อย..บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่..และตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่เป็นศูนย์กลางของประเทศ  Global house เองก็สามารถดำเนินการจัดส่งสินค้าไปยัง ร้านต่าง ๆ ของ Global house เองทั้ง 52 สาขา (สาขาที่ 53 กำลังจะเปิดเร็ว ๆ นี้ครับ)…

.

มาดูรายละเอียอดของคลังสินค้ากันดีกว่าครับ คลังสินค้านี้เป็นคลังสินค้าที่รับสินค้า สองกลุ่มคือ สินค้าที่รับเพื่อทำ Stock และ Crossdocking ซึ่งทำให้สินค้าจะต้องถูกจัดเก็บในคลังสินค้าและบางส่วนเมื่อรับแล้วจ่ายออกไปทันที..มันก็ดูปกตินะครับ..แต่ทีเด็ดของการออกแบบนั้นผ่านวิสับทัศน์ที่กว้างไกลในจังหวะที่เหมาะสมครับ…แบ่งอธิบายเป็นส่วน ๆ แล้วกันนะครับ

  1. คลังสินค้า (Place ตัวที่ 1 สถานที่) : เนื่องจากปริมาณสินค้าที่ต้องการจัดเก็บนั้น…มีปริมาณเทียบเท่ากับ สินค้าบนพาเลทจำนวน 42,XXX พาเลท การออกแบบจึงต้องมีสร้างเพื่อรองรับถึง 43,000 พาเลท หากเลือกจัดเก็บด้วย Selective Rack จำนวน 6 ชั้น จะต้องลงทุนพื้นที่ประมาณ 43,000 ตารางเมตร..หากแต่เมื่อ Global house เริ่มต้นการวางแผนในการเลือกอุปกรณ์เก็บที่น่าสนใจ..อันได้แก่การใช้ ASRS ในการจัดเก็บสินค้า ใช้ lift เพื่อย้ายสินค้าระหว่างชั้น 1 และ 2 ส่งผลให้ Global house สามารถลดขนาดของคลังสินค้าลงเหลือประมาณ 12,000 ตารางเมตร..ลดลงถึง 31,000 ตารางเมตร – หากเทียบเป็นมูลค่าการก่อนสร้าง ณ 10,000 บาทต่อตารางเมตร จะพบว่า Global house ประหยัดเงินค่าก่อสร้างอาคารไปกว่า 310 ล้านบาท…และหาก ASRS คิดที่ 5,000 บาทต่อพาเลท (Selective rack ประมาณ 1,000 บาทต่อพาเลท) ราคาของ ASRS จะเท่ากับ 215 ล้านบาท..นั้นหมายความว่า การลงทุนสร้างที่จำนวนพาเลท 43,000 พาเลทเท่ากัน Global house สามารถประหยัดเงินค่า ก่อสร้างได้ถึง 95 ล้านบาทตั้งแต่วันแรกที่ดำเนินการทำงาน…..
  2. อุปกรณ์จัดเก็บสินค้า..(Place ตัวที่ 2 MHE) : คลังสินค้า หากเทียบที่ Selective Rack ทั่วไปนั้น จะต้องใช้ Reach truck จำนวนไม่น้อยทีเดียว เพื่อวิ่งตักสินค้ากว่า 43,000 ตารางเมตร จำนวนรถคงไม่น้อย…และเงินค่าเช่าหรือซื้อจำนวนรถเหล่านี้ หายวับไปกับตาเลย จริงไหมครับ เหลือแค่การจัดการแนวราบ…หากต้องเข้ารถ Reach truck สักเดือนละ 30,000 บาทต่อเดือน นั้นหมายความว่า Global house ไม่ต้องจ่ายเงินส่วนนนี้ในทุก ๆ เดือน หากเทียบและ น่าจะลดได้สักประมาณ 30 คันก็ตกเดือนละ 9 แสนบาท…
  3. ค่าไฟฟ้า…(Place ตัวที่ 3 Electricity Charging) ตัวนี้อาจจะมองว่า ASRS ใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก แต่หากได้ลองเห็นการออกแบบจริง ๆ จะพบว่า ค่าไฟฟ้าส่วนใหญ่ของคลังสินค้าคือ ไฟฟ้าแสงสว่างกับค่าอุปกรณ์เคลื่อนย้าย รวมกันแล้วกว่า 90% ของคลังทั้งหมด…ลองคิดตามนะครับ ใน ASRS ไม่ต้องใช้คนเข้าไปตัก…แล้วเราจะติดไฟฟ้าแสงสว่างในพื้นที่นั้นทำไม..ก็จบเลยครับ กว่า 50-60% ของค่าไฟฟ้าแสงสว่าง Global house ไม่ต้องจ่าย…(เท่าที่แอบทราบมาค่าไฟประมาณเดือนละ 30,000 บาท เมื่อเทียบกับคลังที่ต้องเปิด High Bay Lamp ถือว่า ประหยัดกว่ามาก จากเดือนละหลักแสนเหลือ 30,000 เห็นภาพชัดเลยนะครับ)
  4. ค่าจ้างแรงงาน (People) นั้น ในอดีตหากเราต้องทำงาน บนพื้นที่กว่า 43,000 ตารางเมตร เราจะต้องใช้คนจัดการเป็นจำนวนมาก..จากสายตาที่ประเมินนะครับ 25,000 case picked per day หรือ 300 ชิ้นต่อคนในชม ที่ ASRS+Sorting System ที่ Global house ใช้อยู่ หากให้คนหยิบธรรมดานะครับ จะได้ประมาณ 80-90 ชิ้นต่อคนในชม หากเทียบสัดส่วนง่าย ๆ จะพบว่า ASRS สามารถให้ความเร็วได้มากกว่า 3 เท่าตัวโดยประมาณ และปัจจุบัน Global house ใช้คนภายในคลังประมาณ 100-150 คน นั่นแสดงว่าหากเราใช้การหยิบแบบคลังทั่วไปจริง ๆ จะพบว่า..เราต้องใช้คนถึง 450 – 500 คนเลยทีเดียว (แอบคิดที่ค่าแรง 350 บาทต่อวันต่อคนนะครับ) ตกลงเดือนนึงจะต้องจ่ายเงินค่าพนักงานกว่า 4 ล้านบาทต่อเดือน..หรือราว ๆ 48 ล้านบาท หักลบกันแล้ว…ทาง Global house เอง จะใช้เงินแค่ 3 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 16 ล้านบาทต่อปี คราวนี้ชัดเลยนะครับ..
  5. ค่าความเสี่ยงที่สินค้าเสียหายหรือการขับรถเฉี่ยวชน (People) บอกได้เลยครับว่า เมื่อไม่มีคนเข้าไปอยู๋ในระบบมาก ๆ ความเสี่ยงก็ลดลงตามครับ…เพราะการวัดเราคงเถียงไม่ออกว่าเครื่องวัดแม่นกว่าคน….อันนี้เลยประเมินยากมากครับ…และหนำซ้ำร้ายกว่านั้นค่า ดูแลระบบ ASRS ยังจ่ายเพียง 3-5% ของราคาที่ซื้อ นั่นหมายถึงหากคุณหาเงินได้มากกว่า 6-8 ล้านบาท คุณก็ไม่ต้องพะวงเรื่อง ASRS จะเสียหายมากมายนัก…(จริง ๆ แล้วแค่ค่า saving ที่ค่าแรงก็สามารถซื้อประกันชั้น 1 ให้ ASRS ได้อยู่แล้ว…
  6. กระบวนการทำงาน (Process) ที่นำเอาระบบของ การจัดการคลังสินค้าอย่างเป็นเครือข่าย และครอบคลุม..อันนี้ผมมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก ๆ สำหรับอนาคตของบริษัท เนื่องจาก ทาง Global house มีทีม In-house IT Development team นั่นหมายความว่า..ระบบจะไม่ต้องจ่ายค่าเช่าระบบจากต่างประเทศ รวมทั้ง สร้างสรรนวัตกรรมจากทีมนี้ได้อย่างไม่สิ้นสุด..ตัวอย่างเช่น การใช้ Minimum stock ที่ หน้าร้าน เพื่อสั่งเปิด order อัตโนมัติมายังคลังสินค้า การ Booking รับสินค้าโดย Supplier ที่ต้องเชื่อมโยงถึงปริมาณคนงานและพื้นที่คลังรวมทั้งประตูรับสินค้าได้อย่างครบถ้วน..รวมทั้งสินค้าทุกตัวจะถูกบันทึก Dimension และ weight ไว้เสมอ เพื่อใช้ในการยืนยันจำนวนตอนเคลื่อนย้ายระหว่างจัดได้อย่างถูกต้อง. รวมทั้งยังมีการนำจอมาใช้สั่งงานแทนการใช้ RDT ที่ผู้ใช้จะต้องเลือก function แต่อันนี้เกิดจากการแยก function ของงานออก ทำให้แต่ละคนไม่ต้องถือกระดาษหรืออะไร เพียงแต่มองคำสั่งในจอ และบนสายพานจะยืนยันน้ำหนักและเลขที่กล่อง ในการเคลื่อนย้าย ระบบจะบันทึกและส่งข้อมูลไปยังส่วนกลางเพื่อประมวลผล…

.

จากวิสัยทัศน์ที่คิดจะสร้างคลังเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจของ Global house นั้น..ทาง Global house เองจริง ๆ ถือว่าจ่ายเยอะมากเลย หากมองเม็ดเงินลงทุนที่ใส่เข้าไปในระบบ ASRS เพียงอย่างเดียว แต่หากมองออกมาแบบ Bird eye view จะพบเลยว่า Global house แทบจะได้คลังสินค้าทีมี ระบบ ASRS มาฟรีเลย เมื่อเทียบกับ นวัตกรรมสมัยก่อน..หากจะกล่าวคงต้องบอกได้แค่ว่า วิสัยทัศน์ จังหวะการลงทุนที่ดีเยี่ยม และผู้ร่วมคิดและสร้างผลงานนี้ ทำให้ Global house สามารถทำสิ่งนี้ได้ อันนี้ต้องขอคาราวะเลยครับ..ไม่ธรรมดาจริง ๆ ใช่ว่ามีคลังเปล่า ๆ แล้วจะมาทำได้นะครับ อันนี้ผ่านการตัดสินใจและวางแผนการสร้างอย่างดีนะครับ จึงออกมาได้แบบนี้..

.

ลองคิดดี ๆ นะครับ หาก Global house เป็นรายแรกในกลุ่มการค้าอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจรที่ลงทุนในระบบนี้ในประเทศไทย และเจ้าอื่น ๆ ยังใช้ระบบเดิมอยู่ (มาสักพัก) คราวนี้เราจะเห็นเลยครับว่า… แค่การวางกลยุทธ์การจัดการคลังสินค้านั้น ทำให้ Global house ลดต้นทุนไปเท่าไหร่…และส่วนต่างนั้นคือไพ่ใบสำคัญเลย ที่ทำให้ Global house สามารถก้าวข้ามไปในขอบเขตของการจัดการที่เจ้าอื่น ๆ ยังไม่สามารถเดินตามมาได้ในตอนนี้

.

เมื่อก่อนผมได้ยินแต่คำว่า..พื้นที่ในไทยมันเยอะ ไม่ได้แพงอย่างที่คิดหรอกจะลงทุนเยอะ ๆ (ASRS) ไปทำไม…มองให้ลึกเข้าไป มันชัดเจนครับ หาก pattern การจัดส่งแน่นอนจริงและต่อเนื่องสอดคล้องกับเวลา (just in time – JIT) แล้วนั้น ASRS ก็ถือว่าเป็นอาวุธสำคัญในการขับเคลื่อนเลยทีเดียว..แต่หากการจัดการคลังนั้น ทั้งช้า ทั้งไม่เร่งรีบอะไร…(มีเยอะนะครับที่ลูกค้าไม่เร่งรีบอะไร) และลงทุนใช้ระบบที่มีราคาสูงขนาดนี้นั้น…คงไม่ต่างกับภาษิต ที่ว่า ขี่ช้างจับตั๊กแตน นะครับ

.

ขอขอบคุณ บริษัท Global house ที่ให้เกียรติร่วมงานเปิดตัวคลังสินค้าอันยิ่งใหญ่

ในส่วนนี้ผมได้สมมุติราคา/ค่าใช้จ่าย จากการสังเกตในการทำงานที่ผ่านมา ๆ นะครับ ไม่ได้เป็นตัวเลขที่ได้รับการยืนยันจาก Global house แต่อย่างใดครับ

.

ด้านบุคคล (P-People)

.

จากเรื่อง 4P อันได้แก่ P ที่ 1 Place หรือ “สถานที่” , P ที่ 2 Product หรือ “ตัวสินค้า”, P ที่ 3 People หรือ “ทีมงาน”, P ที่ 4 Process หรือ “ขั้นตอนการทำงาน” …สิ่งสุดท้ายที่วุ่นวายที่สุดใน 3 โลกก็คือเรื่องของคนนี่แหละ ไม่ว่าจะองค์กรไหน ถ้าไม่มีคนก็ไม่มีงาน แต่ถ้ามีคนก็มีปัญหาอยู่ร่ำไป …หลักการบริการคนนั้นมีหลากหลายมากสำหรับการบริหารให้พนักงานทำงานให้ดี…แต่ส่วนใหญ่มันมักจะมี SHIP ต่อท้าย..ผมจะขอแค่ยกตัวอย่างง่าย ๆ นะครับ

.

Ownership หรือ “ความเป็นเจ้าของ” อันนี้เป็นภาพที่ชัดเจนขึ้นไม่ใช่ในส่วนของการเป็นเจ้าของอย่างเดียว แต่จะต้องสร้างให้กับพนักงานเข้าใจว่า เรื่องของบริษัท เป็นเรื่องของตัวพนักงาน…ไม่ง่ายนะครับ อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นเลยทีเดียวครับ เพราะหากเราสามารถทำตัวนี้ได้ ไอ่เรืออื่น ๆ (SHIP ตัวอื่น ๆ) จะเกิดขึ้นตามทันที..ในตัวของผู้บริหารเองก็ต้องพยายามสร้างความรู้สึกว่า จะหางานเข้าสู่บริษัทอย่างไร จะลองทำอย่างไรให้คนที่รับไม้ต่อไปทำงานที่ได้รับมาอย่างดี..ออกมาแล้วได้เป็นผลประโยชน์ต่อบริษัท..แต่ทุกวันนี้ คุณอาจจะเห็นผู้บริหารมีความเป็นเจ้าของนะครับ แต่เป็นเจ้าของในความกังวลแบบกลัวตัวเองจะไม่รอด…มันก็จะออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะล้อมันหมุนเบี้ยว ไม่ใช่เส้นทางมันมีปัญหาอย่างเดียวนะครับ…แต่ในส่วนของพนักงานระดับปฏิบัติการนั้น..การสร้างความเป็นเจ้าของมันยากมากครับ แต่ผมมองว่ามี key สำคัญคือ ทำอย่างไรให้กินอยู่สบายก่อน…ดังนั้นเมื่อผู้บริหารต้องการจะสร้างให้ทีมงานขับเคลื่อนในรูปแบบของความเป็นทีมเดียวกันนั้น หากเราสามารถทำให้เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันหรืออยู่ร่วมกัน ก็จะไปกันต่อได้..ง่ายขึ้น พนักงานจะมีความรู้สึกว่า “บ้านของเขา” เขาจะรักการทำงานมากขึ้น ทั้งเพื่ออนาคตและความมั่นคง

.

Leadership หรือ “ความเป็นผู้นำ” ในส่วนนี้ มันสำคัญตรงที่ต่อจาก Ownership หรือความเป็นเจ้าของ นั้นเมื่อเราเป็นเจ้าของบริษัท (ร่วมกัน) แล้วนั้นความเป็นผู้นำจะเอาไปทำอะไรอีก…เอาสิครับ ยังต้องใช้ครับ เพราะพนักงานเก่ามีวันลาออก พนักงานใหม่ก็มีสมัครเข้ามา พลังใจที่อ่อนล้า ความเมื่อยล้าในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นมากมาย…ความเป็นผู้นำของผู้บริหารนั้นจะเป็นผู้ใส่พลังเพื่อขับดันเข้าไปให้น้อง ๆ เดินกันต่อไป….การให้พลังก็ตามลำดับไหล่นะครับ จากใหญ่ไปเล็ก ดังนั้นอย่าลืมนะครับ คุณเป็นหัวหน้านะครับ ต้องนึกเสมอว่า “เราเป็นหัวหน้านะครับ” แต่ต้องเป็นหัวหน้าที่มีความเป็น “ผู้นำ” ครับ ดังนั้นท่องไว้ครับว่า…ผู้นำ คือคนที่จะพาคนอื่นไปในเส้นทาง ผ่านอุปสรรค ไม่ใช่แค่สั่งนะครับ…เมื่อความเป็นผู้นำเข้าแทรกซึมในตัวพนักงานทุกคน เขาจะดูแลคนที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา จากนั้นผู้บริหารจะมีพื้นฐานที่ดีและต่อยอดได้

.

Friendship หรือ “มิตรภาพ” ขอออกตัวก่อนนะครับ ว่าจะไม่พูดถึงเรื่องตอแหลหรือแทงข้างหลัง..เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ช่วยให้งานมันดีขึ้น….คุณเชื่อไหมครับ…เรื่องง่าย ๆ ของการจัดการเรื่องนี้มันเกี่ยวกับความเป็นคนปกตินี่แหละครับ..เช่น การรักษาคำพูด, ความไม่ลำเอียง, การเอาใจเข้ามาใส่ใจเรา,….เรื่องอะไรที่มันเกี่ยวกับคนสองคนขึ้นไป มันจะเกี่ยวข้องหมดเลยครับ….แต่สิ่งที่ควรจะเป็นไป คือ การให้เกียรติ ทั้งรักษาคำพูด การมีมารยาทอย่างจริงจัง การให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน…เรื่องเหล่านี้คงไม่ต้องสอนกันหรอกครับ แต่เน้นเรื่องความจริงใจ (จริง ๆ นะครับ) ถ้าคุณทำออกจากใจจริง ๆ  ก็จะออกมาเป็นคำว่ามิตรภาพนั่นเอง…

.

อย่างที่บอกนะครับ เรื่องการจัดการเกี่ยวกับบุคคล หลากตำรา หลายวิธี ดังนั้นการศึกษาคงไม่มีวันจบสิ้นในส่วนนี้…

.

ตอนนี้เราเดินมาถึง P ตัวสุดท้ายแล้วนะครับหวังว่า จะช่วยให้เข้าใจเรื่องการจัดการงานคลังได้ดีขึ้นะครับ…. ถ้าเราสามารถควบคุมจัดสมดุลให้กับ 4P นี้ได้ การงานในคลังจะลื่นไหล ชื่นมื่นกันทุกคนนะครับ……

.

ขอขอบคุณอาจารย์ผู้สอนให้ผมเข้าใจ concept ของ 4P ที่พี่ค้นพบและแบ่งปันให้ผมครับ…

.

สินค้า (P-Product)

.

จากเรื่อง 4P อันได้แก่ P ที่ 1 Place หรือ “สถานที่” , P ที่ 2 Product หรือ “ตัวสินค้า”, P ที่ 3 People หรือ “ทีมงาน”, P ที่ 4 Process หรือ “ขั้นตอนการทำงาน” …สิ่งที่เราขาดไม่ได้เช่นกันอีกตัว อาจจะเรียกว่ามันคือเงินทองของทั้งผู้ให้บริการคลังและผู้ใช้บริการ ก็คือตัวสินค้าหรือ Inventory นั่นเอง..

.

Product คงจะกินใจความได้กว้างกว่า Inventory อีกนิด เรามาดูกัน..product คือ ตัวสินค้า และมีอะไรบ้างที่เราต้องสนใจในตัวสินค้า..มีหัวข้อที่เราต้องดูดังนี้…

  1. กลุ่มสินค้านั้น คือสินค้ากลุ่มไหน…ต้องเก็บในการควบคุมอะไรบ้าง…เป็นสินค้าอุปโภคหรือบริกโภค…(Product spec)
  2. ปริมาณที่ต้องรับ-จัดส่งในแต่ละวัน เดือน ปี เท่าไหร่ (Trend)
  3. การควบคุมการจ่ายสินค้า (lot/batch)
  4. อายุสินค้า (Age)
  5. ขนาด (Dimension)
  6. น้ำหนัก (Weight)

หลักๆ เราก็จะนึกถึงประมาณนี้..แต่ที่ไหนได้บางเราอาจจะต้องเดินไปที่ร้าน หรือโรงาน หรือปลายทางที่จะรับสินค้า เพื่อมองหาแล้วมองให้ออกว่า ลูกค้า หรือผู้ใช้งานสินค้าที่ปลายทางนั้นใช้ของยังไง แล้วเราจะจัดขชองอย่างไรให้สอดคล้องกับปลายทางที่จะรับสินค้า..

.

เรื่องตัวสินค้านั้นนอกจากจะเรียงและจัดส่งแล้ว ตัวพนักงานเอกก็ต้องเรียนรู้และเข้าใจถึงการดูแลตัวสินค้าเป็นอย่างดี… แต่ปัญหาที่มักเจอบ่อย ๆ และไม่สามารถแก้ไขได้มีเยอะมากเกี่ยวกับคำว่า “ตัวสินค้า” เช่น ตัวบลูกค้าเอง ก็ยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองขายของอะไรไปเท่าไหร่..การดูแลสินค้าจะจัดการยังไง….เวลาที่ให้เสนอราคาเองก็ไม่ให้ข้อมูลทั้งหมด (โดยอาจจะใช้คำว่า “ไม่สามารถบอกอะไรมากกว่านี้ได้”) ซึ่งนั่นเองเป็นเหตุผลที่สำคัญอีกอย่างที่ทำให้ไม่สามารถทำราคาไปเสนอได้อย่างตรงใจ (ถูกและดี แบบ Foodlands นั่นเอง) …ดังนั้น ความสำคัญของ Product จึงเป็นเรื่องที่สับซ้อนมาก และ ละเอียดอ่อนมาก เพราะ ให้มากไปก็ไม่ได้ ให้น้อยไปก็ไม่ได้ จนกว่าจะถึงขั้นตอนการระบุในเอกสารเปิดเผยข้อมูลกัน ถึงจะเปิดเผยได้อย่างเหมาะสม เพราะข้อมูลจะเป็นความลับระหว่างผู้ที่ให้และผู้รับข้อมูลไปใช้…

.

ในอีกมุมหากท่านเป็นผู้ที่ต้องเข้าไปทำงานในคลังสินค้าที่มีการให้บริการอยู่แล้วนั้ สิ่งแรกสุดที่ผมว่ามันช่วยได้คือ หารเรียนรู้สินค้าทั้งหลายภายในคลังให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และควรจะไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังเช่นซุนวูว่าไว้ “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครา” หากเรารู้ว่า ลูกค้า หรือปลายทางจัดการสินค้ายังไง (รู้เขา) แล้วเอามาย้อนคิดกลับว่า เราจะจัดการกับสิ่งที่เราบริการอย่างไร (รู้เรา) แต่ด้วยความรู้ทั้งสองส่วนนั้น เราจะต้องไม่ประเมินเพียงแค่ว่า เรารู้ หากแต่ต้องรู้จริง ๆ ในสินค้านั้น และสามารถจัดการกับสินค้าได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้าเปิดร้านใหม่, ปลายทางไม่รับสินค้า, โรงงานไม่ผลติสินค้าตัวนี้, ต้นทางส่งสินค้ามาผิดตัว หรือ วันผลิต, มีสินค้าย้อน Lot (วันผลิตของสินค้าที่ส่งมารอบหลัง อายุสั้นกว่ารอบแรก) เป็นต้น…เพราะเราเองจะไม่สามารถควบคุม แผนการจัดการสินค้า (Product Strategy เช่น FIFO, FEFO) ได้เลย

.

ส่วนของ Place เองก็ต้องพึ่งพาข้อมูลจาก Product ในการออกแบบเป็นอย่างมาก เพราะเป็นตัวกำหนดทุกอย่างภายในการออกแบบเลยทีเดียว..หากคุณยังไม่รู้ว่า Product ที่คุณส่งจัดเก็บและจัดส่งนั้นคืออะไร คงไม่มีเวลามาคิดแล้วว่าจะดูแลอย่างไร ต้องเริ่มจากการทำความรู้จัก Product ให้ถ่องเสียก่อน และคุณจะทำงานกับคลังด้วยความสนุก

.

สถานที่ (P-Place)

.

จากเรื่อง 4P อันได้แก่ P ที่ 1 Place หรือ “สถานที่” , P ที่ 2 Product หรือ “ตัวสินค้า”, P ที่ 3 People หรือ “ทีมงาน”, P ที่ 4 Process หรือ “ขั้นตอนการทำงาน” จากขั้นตอนการทำงานก็คงจะเป็นเรื่องของสถานที่ทำงาน (Place)…

.

เมื่อเราศึกษาและเข้าใจถึงขั้นตอนการทำงานรวมทั้งลูกค้าได้ให้ความไว้วางใจให้บริการคลังสินค้า (หรือผู้บริหารตกลงให้ดำเนินการสร้างคลังภายในโรงงาน) เราจะต้องมาเริ่มออกแบบและวางแผนสร้างกันหละครับทีนี้…หลัก ๆ ของการสร้างนั้น ขอแบ่งเป็น 3 ส่วนนะครับ ส่วนแรกเป็นเรื่องของโครงสร้างอาคาร (Building) ส่วนที่สองคือ อุปกรณ์จัดเก็บประเภทต่างๆ (Storage) และส่วนที่สาม คือ อุปกรณ์ที่เคลื่อนย้ายสินค้าในรูปต่าง ๆ (MHE: Material Handling Equipment)

.

เริ่มต้นด้วยอาคารที่จัดเก็บที่จะต้องออกแบบให้สอดคล้องกับขั้นตอนการทำงาน..ทั้งการรับสินค้าเข้าและจ่ายออกนะครับ..โดยการออกแบบนั้น เมื่อได้รับปริมาณสินค้าที่จัดเก็บและพื้นที่ที่ต้องการหละก็ จะเริ่มด้วยการกำหนดพื้นที่โดยประมาณ และพื้นที่ให้เหมาะสมกับปริมาณ (คาดเดาและประมาณจากการคำนวณ) จากนั้นก็เลือกทำเลของแต่ละคลังที่เลือกไว้ ด้วยหลักการ Center of Gravity หรือ ศูนย์กลางแรงดึงดูด เมื่อได้คลังตามจุดที่ต้องการแล้วนั้น เราจะเริ่มวางพื้นที่จัดเก็บก่อนนะครับว่า Rack ควรจะอยู่ตรงไหน หรือจะใช้อะไรในการเก็บ เช่น ถ้าหากว่าลูกค้ามีเงินเยอะและพร้อมลวทุนกับเทคโนโลยี ก็อาจจะเลือกใช้การจัดเก็บรุ่นใหม่ ๆ เช่น พวก ASRS  หรือ Shuttle System ก็จะต้องเลือกออกแบบกันไปนะครับ..โดนเทคนิคหลัก ๆ ของการวางตำแหน่งต่าง ๆ ภายในคลังนั้น ก็จะต้องคำนึงถึงการไหลของสินค้ารวมทั้งการกีดขวางพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้การทำงานไหลลื่นและไม่ติดขัดในการทำงานครับ..

.

เมื่อออกแบบได้ครบถ้วนแล้วนั้น..ทางทีมออกแบบจะต้องประเมินถึงเครื่องที่จะใช้ในการเคลื่อนย้ายสินค้า (MHE) ซึ่งจะต้องสอดคล้องกันนะครับ เพื่อเคลื่อนย้ายสินค้าได้ไวที่สุด และง่ายต่อการทำงานของพนักงานที่สุด การเลือก MHE นั้น จะเลือกตามรูปแบบของการจัดเก็บ เช่น ถ้าการทำงานเป็นส่วนของการวางพื้นเฉย ๆ อาจเพียงแค่ใช้รถ Forklift หรือ Power Pallet Truck ก็อาจจะจัดการได้ แต่หากจะต้องใช้ Selective rack หรือชั้นวางแนวสูง ก็จะต้องใช้ Reach truck เพื่อยกสินค้าขึ้นไปบน ชั้นเก็บแต่ละชั้น ครับ…การเลือก MHE จึงมีผลต่อการทำงานเป็นอย่างมาก…

.

จากนั้นนำทั้งสามส่วนมารวมกันนั้น สถานที่จัดเก็บ หรือ Place ที่ต้องการนั้น ก็คือ คลังสินค้าที่เราเห็นและทำงานกันนั่นเอง…จากข้างบนมันง่ายนะครับ แค่ไม่กี่บรรทัดก็เขียนออกมาได้ หากแต่จะออกแบบให้ทุกส่วนลงตัวและกลมกล่อม ต้องเรียกได้ว่าต้องใช้ศิลปะพอควรเลย…จะเรียกว่า “สถาปนิคงานคลัง” ก็ได้นะครับ..งานพวกนี้ต้องใช้ความรู้หลาย ๆ ศาสตร์ ดังนั้นการออกแบบคลังสินค้าจึงต้องใช้ความคิดและประสบการณ์มาจินตนาการเข้าด้วยกัน….

.
การจัดการแผนผังคลัง (Layout Plan) หรือ การไหลของคลังที่ดี (Flow) จะช่วยให้การทำงานมีต้นทุนที่ถูกต้อง แม้นไม่ใช่งานง่าย แต่ไม่ยากจนเกินไปครับ ปัจจุบันนี้..มีโปรแกรมสำเร็จรูปมากมายให้เลือกใช้ ระบุค่าต่าง ๆ เช่น workload, demand volume, equipment, storage, manpower… และเมื่อประมวลผลออกมาก็จะพบว่า สิ่งที่ใส่เข้าไปเป็นจริงหรือไม่ แต่ทีเด็ดคือ โปรแกรมเหล่านี้จะจำลองคลังออกมาทั้งคลัง รวมทั้งแสดงภาพเคลื่อนไหวให้เราดูได้ว่าที่ออกแบบมานั้น จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร…

.

สถานที่ทำงาน หรือ Place ที่กล่าวไปข้างต้นนี้ จะไม่มีประโยชน์เลยหากออกแบบด้วยแนวความคิดที่ไม่ช่วยให้ทำงานง่ายขึ้น..แต่ใครเล่าจะตัดสินใจได้ว่า สิ่งไหนดี..การเลือกทั้งสามส่วนของ Place นั้น จึงเป็นเรื่องที่จะต้องผ่านการวิเคราะห์และตัดสินใจอย่างดี รวมทั้ง Place นี้เองก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าหรือผู้บริหารตัดสินใจเลยว่าจะไปต่อด้วย หรือต้องรื้อและศึกษาหาความเหมาะสมกันใหม่…

.

ในส่วนนี้มีหลายคำศัพท์มากที่เกี่ยวข้องกับงานคลังสินค้า ผมจะทยอยนำคำศัพท์เหล่านั้นมานำเสนอเรื่อย ๆ  ในโอกาสต่อไปเพื่อความเข้าใจที่มากขึ้นครับ..

.

Credit Photo: Flexsim

ขั้นตอนการทำงาน (P-Process)

.

จากเรื่อง 4P อันได้แก่ P ที่ 1 Place หรือ “สถานที่” , P ที่ 2 Product หรือ “ตัวสินค้า”, P ที่ 3 People หรือ “ทีมงาน”, P ที่ 4 Process หรือ “ขั้นตอนการทำงาน” ผมอยากจะขอเล่าเรื่องของทั้ง 4P ตามลำดับการทำงานตั้งแต่แรกเริ่มจนดำเนินการจัดจ่ายสินค้าได้นะครับ…

.

ก่อนจะเริ่มทำงานคลังเราคงต้องเริ่มด้วยการเรียนรู้วิธีการทำงานก่อน เพื่อนำแนวทางการทำงานนั้นไปศึกษาและออกแบบคลังสินค้า การทำงานของขั้นตอนการทำงาน จึงทำงานร่วมกับ P-Product ที่เราจะต้องรู้ถึงประวัติการรับจ่ายสินค้า แต่ผมยังมองว่าขั้นตอนการทำงานน่าจะเป็นหลักในการออกแบบมากกว่าเพื่อสร้าง P-Place นะครับ…จึงเล่าถึงตรงนี้ก่อน…

.

จากที่เคยเจอะเจอมานะครับ ปัญหาที่เรามักจะเจอว่าเราไม่เข้าใจการทำงานของลูกค้า (ในกรณีของ 3PL นะครับ) เนื่องจาก คนที่จัดหาผู้มาประมูลเป็นฝ่ายจัดซื้อ แต่คนที่ต้องทำงานด้วยเป็นฝ่ายผลิตหรือผู้จัดการสินค้าเข้านั้น ทำให้แผนกออกแบบและเสนอราคา (ทีมเซล) ไม่สามารถทำราคาที่เหมาะสมได้..แต่มักจะเจอสถานการณ์ว่า ราคาที่เสนอต่ำกว่าที่ควรจะเป็น บางทีจัดซื้อเองก็คงฟินนะครับ ได้ของราคาถูก แต่เชื่อเถอะครับ พอทำงานกันไปก็จะมาเสียใจเพราะ คุรภาพของการบริการไม่ได้ในระดับที่ควรจะเป็น…

.

การเตรียมงานก่อนการให้บริการนั้น.. ทางคลังเองซึ่งจะต้องทำงานภายใต้ข้อกำหนดต่าง ๆ เช่น ISO9001, ISO18001, ISO 13485 เป็นต้น การออกแบบขั้นตอนการทำงานนั้น เมื่อสอดคล้องกับราคาแล้ว ก็ต้องแปลงความคิดนั้นมาเป็น ขั้นตอนการทำงานแบบเป็นรายลักษณ์อักษร (SOP Registration) เพื่อทำให้พร้อมตรวจสอบและจัดเตรียมการสอนเพื่อให้การทำงานหน้างานจริง..สอดคล้องกับเอกสารที่เขียน..หากไม่สอดคล้อง ก็แก้ที่หน้างาน หรือจะแก้ที่เอกสาร ก็ว่ากันไปนะครับ ตามแต่นโยบายของบริษัท….ต่อไป

.

เมื่อได้ขั้นตอนการทำงานที่ถูกต้องจากการทบทวนและออกแบบแล้วนั้น.. เราจะต้องสอนและทดสอบพนักงานเพื่อให้รู้ว่าพนักงานนั้นเข้าใจในสิ่งที่พยายามออกแบบและทำได้จริง….อาจจะถึงขั้นต้องทดลองทำจริงเลย ด้วยการจำลองสถานกาณณ์ก็เป็นวิธีการทดสอบพนักงานไปอีกแบบ..

.

ขั้นตอนการทำงานนนี้เอง เปรียบดั่งภาษาที่ใช้คุยกันระหว่างผู้ควบคุมการทำงานกับผู้ทำงาน จึงต้องมีผู้คอยตรวจสอบ…รวมทั้งมันเลยไปถึงอีกทวนสอบอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้สอดคล้องอยู่เสมอนะครับ…และกรณีลูกค้าบางรายก็ขอเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบและตรวจสอบความสอดคล้องให้สม่ำเสมอนะครับ..ซึ่งถือว่าเป็นการทำงานให้สอดคล้องกับตั้งแต่ ต้นทางไปยังปลายทาง..

.

แต่การทำงานมันยังมีคำว่า “ทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม” จริงไหมครับ..ผู้ดูแล P-Process (เช่น หัวหน้างานหรือผู้จัดการ) จึงต้องหาอาวุธใหม่ ๆ มาเล่น เพื่อทำให้เวลาในการทำงานลดลงอย่างเหมาะสม เช่น คุณภาพไม่เสียหาย, ค่าใช้จ่ายลดลง, เวลาการทำงานลดลง ดังนั้น..การที่ทำงานทุกวันอาจจะเรามองข้ามหลาย ๆ อย่างไป แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าเราอยากจะรู้ว่าจะพัฒนาตรงไหน ต้องใช้ 2 สิ่งเป็นหลักครับ คือ ตา กับ หู ด้วยการฟังทีมงานเล่าปัญหาให้ฟังเยอะ และสังเกตว่ามันจริงไหม หรือยังเกิดขึ้นไหม…มีหลายแนวทางนะครับในการปรับปรุง แต่ที่สำคัญคงไม่พ้นเรื่อง PDCA (Plan-Do-Check-Act) เป็นหลักการทั่วไปในการทำงาน เหมือนหลักอริยสัจ 4 ครับ ใช้จริงก็จะ “เห็นผล”-“รู้สาเหตุ”-“มองหาผลที่อยากได้”-“หาแนวทางเพื่อให้ได้ผลที่อยากได้” มันก็จะวน ๆ  ไปเป็นวงเวียนเหมือนกัน เพื่อพัฒนาปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ดังเช่นกฏไตรลักษณ์ ที่ต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ เช่นกัน (ศีล-สมาธิ-ภาวนา คือ ศีล 5- ทำสมาธิ-ภาวนา แล้วก็ ศีล 8-สมาธิ-ภาวนา แล้วก็…ไปเรื่อย ๆ จน พ้นทุกข์)

.

คราวนี้คงเห็นความสำคัญของขั้นตอนการทำงาน (P-Process) ว่าถ้าไม่รู้ก่อนคงไม่สามารถทำอะไรได้เลยตั้งแต่เริ่ม ดังนั้นก่อนการเริ่มทำอะไร เราคงต้องเรียนรู้ที่จะถามว่า…”ต้องการให้ทำอะไรครับ?” ทุกครั้งก่อนทำนะครับ เพราะมันคือตัวกำหนด “ขั้นตอนการทำงาน” ต่อไปครับ

.

หลักการตลาดทั่ว ๆ ไป กับงานคลัง…(4P)

.

เป็นเวลานานมาแล้วที่เรามีการค้าขาย และทำการค้ากันมาช้านาน..จนเรารู้จักคำว่าการตลาด…ซึ่งหลักการในการจัดการตลาดนั้น มี 4P ด้วยกัน ในการทำงานคลังก็มีหลักการจัดการหลายตัวเช่นกันนะครับ..แต่ผมได้วิชาจากพี่ที่ทำงานด้วยกัน ผมหลักการมันครอบคลุมดีนะครับ…ท่านบอกว่า ในการทำงานคลังสินค้าจะต้องรู้จัก 4P ผมจึงต้องถามย้ำกลับไปว่า..อันนี้เอามาจากหลักการทางการตลาดใช่ไหมครับ…..แกบอกว่า ไม่ซะทีเดียวนะ แค่ อินสปายเรฉัน…แล้วก็ต้องหัวเราะกันไป…

.

แต่แค่แรงบันดาลใจมันไม่ต้องมาเล่ากันแบบนี้หรอกนะครับ..แต่ที่ท่านเอามาดันเป็นทีเด็ดนี่สิครับ..เนื่องจากมันสอดคล้องและใช้งานได้จริง..มาเริ่มกันเลยดีกว่านะครับว่าแต่ละ P มีอะไรบ้าง แล้วผมจะพยายามมาเจาะลึกลงในแต่ละ P ให้ในวันถัด ๆ ไปนะครับ..

.

P ที่ 1 คือ Place หรือ “สถานที่” ในที่นี้จะขอหมายถึง คลังสินค้านั่นเองครับ…มีองค์ประกอบอะไรบ้าง…ก็คงไม่พ้นจาก ตัวอาคาร, Rack, Staging (พื้นที่จัดเรียงสินค้าชั่วคราว), เส้นทางวิ่งรถ, ห้องCopacking หรือ (VAS)Value Added Service, ห้องชาร์ทแบทเตอรี่อุปกรณ์ต่าง ๆ , ห้องเก็บสินค้าควบคุมอุณหภูมิ, ห้องเก็บสินค้าคืน หรือรอการตอบกลับจากทางลูกค้า (Quarantine Room/Area), ห้องเก็บสินค้ารอทำลาย, ห้องสารเตมีอันตราย ห้องธุรการ รวมไปถึงอุปกรณ์ที่ใช้ทำงานต่าง ๆ ……มากมายเลยนะครับ แต่สิ่งเหล่านี้ หากเราทำงานแต่ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ออกแบบและจัดเตรียมไว้ การทำงานก็จะไม่สอดคล้องกันนะครับ

P ที่ 2 คือ Product หรือ “ตัวสินค้า” ด้วยประสบการณ์แล้วนะครับ การเข้าใจถึงแก่นของการวางแผนขายสินค้าของลูกค้านั้นมีผลต่อการทำงานของคลังมาก ๆ เช่น หากเรารู้ว่าสินค้ามีพฤติกรรมที่ถูกจัดจ่ายอย่างไร ก็จะต้องจัดการให้สอดคล้อง..หลักการคิดง่าย ๆ ที่ชอบใช้กันคือ ABC Analysis (การจัดเรียงสินค้าตามความไวของการจ่ายสินค้า) และยังมีอีกหลากหลายมากที่ช่วยให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากความเข้าใจ P นี้

P ที่ 3 คือ People หรือ “ทีมงาน” นั่นเอง คนที่ทำงานกับเราไม่ว่าจะสูงกว่า ต่ำกว่า เท่ากัน ซ้ายมือหรือขวามือของเรา (ทิศทั้งหกในเชิงการทำงานนั่นเอง) ซึ่งเรื่องนี้จะว่าง่ายก็คงบอกว่า คุณกำลังประมาท จะว่ายากก็ต้องว่า ไม่เกินความพยายามของคุณหรอก..อาจจะทำงานด้วยกันต่อไม่ได้ ก็คงไม่ต่างกับการย้ายสโมสรของนักกีฬานั่นเอง..ดังนั้นศาสตร์ในการบริหารงาน คงเป้นกุญแจสู่ความสำเร็จที่ทุกวงการต้องยอมรับจริง ๆ

P ที่ 4 คือ Process หรือ “ขั้นตอนการทำงาน” เป็นสิ่งจำเป็นอีกสิ่งนึงเลย เนื่องจาก ขั้นตอนการทำงาน คือภาษาที่เราจะใช้สื่อสารกับทุกคนใน ทีมงาน (P ตัวที่ 3) นั่นเอง..การออกแบบ,เรียบเรียง, จัดสอน, ฝึกหัด, ทดสอบ,ปรับปรุง จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับการทำงาน ..มันอาจจะดูง่ายในการทำความเข้าใจ แต่มันจะยากเวลาที่ผลงานออกมาแล้ว แล้วก็ต้องถามว่า ทำไมไม่ทำตามขั้นตอนที่สอน….

.

โศกนาฏกรรมในคลังสินค้าเกิดขึ้นเสมอเมื่อ P ที่ 4 ถูกละเลย แต่ใช่ว่า P 1-3 จะไม่มีผลนะครับ..หากคุณจัดคลังไม่เรียบร้อยหา สินค้าไม่เจอ ก็ต้องทั้ง P1,4 เรียบร้อยในทันที…การจัดการคลังสินค้าจึงต้องเข้าใจ P ทั้ง 4 ตัวนี้ให้ถ่องแท้ แล้วจัดการมันอย่างสอดคล้องด้วยศิลปะ และหลักการที่เหมาะสม..โดย 4P เมื่อทำได้อย่างสอดคล้องแล้ว จะทำให้เราสามารถควบคุมทุนได้อย่างดีขึ้น

.

เหรียญย่อมมีสองด้าน..บางคนใช้ในกรณีที่มีเรื่องไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้ แต่อีกมุมหนึ่ง..ถ้าหากว่าเหรียญมีด้านเดียวแล้วมันจะเป็นเหรียญได้อย่างไร…ผมจึงต้องขอสอบถามท่านอาจารย์ว่า เอ้พี่ครับ แล้วด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานยังมีอีกนะครับ เช่น Facility, QA, Finance, IT จะไม่เกี่ยวกับการทำงานเลยหรอครับ…คำตอบที่ง่าย ยังคงเรียบง่ายและแฝงไปด้วยปรัชญาว่า…ก็ NON-4P ไง……ผมนี่อึ้งเลย…มีไม้เด็ดตลอดเลยพี่คนนี้..ไม่ธรรมดา.และพี่ก็หัวเราะออกมาว่า เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ ก็ยัดมันลงไปใน NON-4P ซะก็หมดเรื่องแล้ว..

.

NON-4P ผมข้ออ้างอิงถึงบทความ “สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้ง  7” นะครับ เนื่องจากในนั้นกล่าวไว้ค่อนข้างเยอะมากเลย…โดยคนแคระทั้ง 6 ที่ไม่ใช่  Operation หรือ ทีมปฏิบัติการนั่นเอง ที่เป็น   NON-4P อันได้แก่ Sale/BD, Facility, QA, IT, Finance, Purchasing, Human resource, Security, Safety, และอื่นๆนะครับ… โดนทีมงานเหล่านี้เป็นกำลังขับสำคัญที่ทำให้องค์กรไปต่อได้ และส่งเสริมการทำงานของทัพหน้าอย่าง..ทีมปฏิบัติการ (Operation) ครับ…

.

ลองจินตนาการนะครับ หากว่า ทีม Operation จะต้องจัดการทุกเรื่องด้วยตัวเอง เช่น จัดหาซื้อของเอง เทียบ 3 เจ้าเอง, ต้องอบรมเรื่อง Safety เอง, คุมงานก่อสร้างเอง, วางแผนเรื่องการรอ Audit, ประกาศหาบุคคลเข้าร่วมทำงาน….ทีมทัพหน้าของเราที่กลุ้มใจอยู่แล้วเรื่องการจัดส่งสินค้าให้ได้ตามเวลาที่กำหนด ด้วยคุณภาพและต้นทุนที่ถูกบังคับ…คงจะเห็นภาพนะครับว่า จะวุ่นวายแค่ไหนนะครับ ไม่ง่ายเลยจริงไหมครับ..

 

.

ดังนั้นทั้ง หลักการ 4P เองก็เป็นแกนหลักในการพิจารณาการทำงาน ส่วน NON-4P ก็คือตัวเสริมสำคัญที่องค์กรจะต้องจัดเตรียมตามความจำเป็น หากขาดไปงานที่ควรจะราบรื่นก็เกิดปัญหาได้นะครับ…ดังนั้น หากคุณมองหาและประเมินแต่ละจุดได้ครบ คุณน่าจะตอบคำถามได้แน่ ๆว่า ตัวไหนตกไปแล้ว และจะหาทางป้องกันอย่างไรครับ…

.

คลังล้น..คลังร้าง (Over Saturated Warehouse, Abandon Warehouse)

คลังล้น คือเก็บกันจนไม่มีที่จะเก็บแล้ว…ก็เกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น คำสั่งผลิตเผื่อเพื่อจัดเตรียมปิดโรงผลิตเพื่อซ่อมบำรุง สินค้าขายไม่ได้ สินค้าคืนจากร้านค้า รัฐบาลขึ้นภาษีสำหรับสินค้าตัวนั้นอย่างกะทันหัน เป็นต้น ทำให้คลังมันล้น…..ทีมงานก็ได้แค่ บ่นกันระงม แล้วก็ทำหน้าที่ต่อไป แต่เชื่อไหมครับ ท่ามกลางความล้นหลามนี้นั้น รายได้ของการให้บริการก็ได้รับมากขึ้น ไม่ว่าจะคิดเงินกันแบบ Open book หรือ Cost Plus…. ความลำบากนี้ยังมาซึ้งรายรับของพนักงานที่มากขึ้น .. “ก็ยังดีกว่าไม่มีงานทำ” ได้ยินจนชินแต่ก็จริงของคนพูด…

.

คลังร้าง คือไม่มีอะไรจะเก็บ เงียบจนหญ้ามันรกชัน..น่ากลัวจะต้องมีการถ่ายคนอวดฝีกันเลยทีเดียว…ซึ่งมันก็มีสาเหตุจากหลายปัจจัยเช่นกันไม่ว่าจะ เกิดจากการบริหารผิดพลาดจนธนาคารยึด บริการไม่ดี ออกแบบไม่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า เคยน้ำท่วม เป็นต้น ยังผลให้ไม่มีใครมาเช่า…น่าเศร้าไปนะครับ… “เหงาแบบนี้ ขอมีงานล้นมือดีกว่า” จริงไหมครับ…

.

จากทั้งคลังล้นและคลังร้างนั้นมีปัจจัยร่วมกันอยู่เรื่องนึงที่น่าสนใจนะครับ..ง่าย ๆ ใกล้ตัว แต่เวลาจะมองให้ขาดมันยากเหลือเกิน..ทางการตลอดเรียกว่า “ทำเล” (Place) 1 ใน 4 P ที่เรียนรู้กันมาตั้งแต่เมื่อปีค.ศ. 19XX ที่ผ่านมา นักเรียนสมัยนี้แทบจะท่องกันจนเบื่อ..แต่กว่าจะมองได้ถ่องแท้ และเข้าใจนั้นมันไม่ง่ายเลยจริงไหมครับ…การศึกษาหาทำเลที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งก่อนการลงทุนก่อสร้างและให้บริการคลังสินค้า…..แล้วเราจะใช้อะไรมาศึกษาหละ?

.

หลักความคิดที่ใช้ในการคัดเลือกพื้นที่ก็มีสิ่งหนึ่งที่นิยมใช้กัน เพื่อจัดสรรและวางแผนการจัดการทรัพยากรให้ได้คุ้มค่าที่สุด จากทำเลที่ตั้ง นั้นก็คือ “การวิเคราะห์หาจุดศูนย์ถ่วงของมวล” (Center of Gravity) …..มันเกี่ยวจริง ๆ หรอ ถ้าเป็นนักวิจัยสายฟิสิกส์นิวเคลียร์ คงจะมองเป็น ควานตั้มฟิสิกส์ไปแล้ว…แต่ผมจะพากลับมาก่อนครับว่ามันทำงานยังไง มีข้อจำกัดยังไง…รวมทั้งจริง ๆ หลักการนี้เองที่ใช้วงกรอื่นๆ ก็ได้ครับ

.

การหา Center of Gravity นั้นจะต้องเทียบด้วยหลายปัจจัย เช่น แหล่งต้นทางและปลายทางที่คลังจะรับหรือจ่ายสินค้าไปยังปลายทาง….ปัจจัยที่กล่าวถึงมีหลายอย่างมาก ได้แก่ สภาพจราจรในบริเวณนั้น ๆ, ราคาที่ดิน, ความใกล้กับสาธารณูปโภคต่าง ๆ, ที่ตั้งอยู่ใกล้ที่รับสินค้าปลายทาง เป็นต้น…เมื่อนำปัจจัยต่าง ๆ เข้ามาประมวลด้วยการให้  Weight ในสมการที่เตรียมไว้ พร้อมทั้งใส่ค่าปัจจัยต่าง ๆ ลงไปก็โกโก้ครัชเลย..ได้สรุปมาว่า ควรจะตั้งคลังที่ไหนดี…

.

แต่ใช่ว่า เมื่อเราเลือกได้ตำแหน่งที่สมการระบุแล้วจะมามารถใช้จุดนั้นในการทำได้ เพราะ การนำข้อมูลตำแหน่งต่าง ๆ ของพื้นที่ เป็นเพียงการอ้างอิงปัจจัยต่าง ๆ ผ่านค่าละติจูดและลองจิจูด..ดังนั้นหากคิดค่าทั้งสองออกมาได้จริง ทางผู้เลือกตำแหน่งคลังยังคงต้องมองอีกหลายอย่าง เช่น พื้นที่ใกล้เคียงจุดนั้นมีพื้นที่เปล่าให้ซื้อ หรือคลังสินค้าพร้อมเช่าหรือไม่…ที่ดินมีราคามากกว่าราคาประเมินมากน้อยแค่ไหน..ต้องลงทุนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงพื้นที่มากไหม..เป็นต้นนะครับ

.

ไม่ง่ายและไม่ยากนะครับ…. ทำเล ใครว่าไม่สำคัญ…เราลองมองหาตัวอย่างวิธีสังเกตกันดีกว่าครับ ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการ คุณจะเลือกที่ตั้งคลังที่ไหน…

.

เช่น The Mall สนใจเลือกที่จะตั้งคลังไว้แถวแยกบางนา…อาจจะอยู่ด้านหลัง เดอะมอลล์บางนาก็เป็นได้..เพราะอะไรครับ? คำตอบก็คือ สาขาส่วนใหญ่ของห้างในเครือเดอะมอลล์นั้น อยู่ฝั่งตะวันออกของ กทมทั้งนั้น…และอยู่บนถนนสุขุมวิท อีกตั้งกี่ที่หละครับ…คำตอบคงไม่พ้นคำว่า “เพียบ” ใช่ไหมครับ..

.

คลังสินค้าของ Hypermarket ทั้งหลาย อย่าง Big C, Tesco, marko ก็ยังเลือกที่จะมีคลังที่กระจายสินค้าอยู่ทั้งหลายตำแหน่งหลักรอบ ๆ กทม…เพราะคลังสินค้าเหล่านี้สามารถช่วยกันแยกงานกระจาย ส่งไปยังปลายทางที่กำหนด…

.

แต่ละสถานประกอบการก็มีเหตุผลในการเลือกผลของการเลือกทำเลที่แตกต่างกันออกไป ยังไงเสีย การเลือกที่ตั้งของคลังสินค้าก็เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งเลยที่เกี่ยวข้องการวางแผนเพื่อให้บริการคลัง…ดังนั้นการเลือกสร้างหรือเช่าคลังเพื่อการให้บริการนั้น อย่าลืมคิดถึงเรื่องทำเลที่ตั้งคลังด้วยนะครับ..ดั่งคำว่า “ทำเลดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” ที่ยังคงอมตะอยู่ตลอด