การวางสินค้า (Storage) ตอนที่ 4

.

การเลือกใช้ Drive In Rack ก็จัดการยาก…จะใช้ Selective Rack หรือ Double Deep Rack ก็เสียทางวิ่ง….คราวนนี้ถ้าจะทำแบบผสมหละ…ก็ต้องเอา Selective Rack มาลดทางวิ่งดู เลยทดลองทำดูทั้งฝั่งของผู้ติดตั้ง Rack และ ผู้ออกแบบ MHE (เครื่องมือย้ายสินค้า) ด้วยการสร้างช่องให้แคบเท่ากับขนาดของรถ และติดตั้งรางวิ่งระหว่างช่องวิ่ง เวลาที่ขับรถเข้าไปก็ง่ายที่ไม่ต้องกังวลซ้ายขวา ขับตามรางเป็นอันเรียบร้อยและง่ายเลยนะครับ..

.

ข้อดีที่ชัดเจนคือ สามารถหยิบของทีละพาเลทได้ง่าย และเก็บของได้เยอะกว่า Selective Rack….มีดีต้องมีเสีย….จากที่ทางวิ่งแคบนั้นทำให้เกิดภาวะเข้าได้ทีละคัน หรือวิ่งย้อนไม่ได้นั่นเอง… การทำงานจึงเป็นทิศทางเดียวเป็นหลัก…แต่คงจะขาดไม่ได้ว่า แล้วราคาหละ มากกว่า Selective Rack ไหม คำตอบคือ ค่า Rack ไม่ต่างกันมา เพียงเพิ่มค่า Guard Rail แต่ ค่ารถยกนี่ต่างกันพอควรครับ…

.

จากที่พบเห็นมานะครับ Rack ประเภทนี้เคยนิยมมาสักพักนึงและห่างหายไปเพราะใช้งานยาก แต่ทุกวันนี้ เมื่อมีทางเลือกใหม่คือ นำเครนมาใช้งาน ก็พบว่าเครนไม่ต้องคิดเรื่องรถวิ่งเข้าออกอีก เพราะมีแค่ เครนเท่านั้นที่วิ่งผ่าน การตั้ง Rack แบบ VNA จึงถูกใช้ด้วยการแยกช่องให้เท่ากับขนาดจองเครน และนำเครนมาวิ่งผ่านไปมา…VNA Rack + Crane จะเรียกว่า.. “ASRS” นั่นเอง…ลดความเสี่ยงได้มหาศาลเลยครับ ระยะสั้นการลงทุนอาจจะไม่คุ้มทุน แต่เวลาผ่านไป คุ้มแน่นอนครับ (อย่างที่เคยเล่าในเรื่อง Global House)

.

เดี๋ยวค่อยๆ มาดูกันต่อนะครับ ตัวเริ่มต้นหมดแล้ว หลังจากนี้จะเริ่มเพิ่มเติมชนิดของ Rack ที่ประยุกต์จากตัวเริ่มต้นแล้วใส่หนุ่ยนต์และระบบเข้าควบคุมครับ

.

วิสัยทัศน์นั้นสำคัญมาก (Vision)

.

วันนี้ (9 ตค 2560) นั้นผมได้มีโอกาสร่วมงานเปิดคลังกระจายสินค้าของกลุ่ม Global house สาขาวังน้อย..บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่..และตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่เป็นศูนย์กลางของประเทศ  Global house เองก็สามารถดำเนินการจัดส่งสินค้าไปยัง ร้านต่าง ๆ ของ Global house เองทั้ง 52 สาขา (สาขาที่ 53 กำลังจะเปิดเร็ว ๆ นี้ครับ)…

.

มาดูรายละเอียอดของคลังสินค้ากันดีกว่าครับ คลังสินค้านี้เป็นคลังสินค้าที่รับสินค้า สองกลุ่มคือ สินค้าที่รับเพื่อทำ Stock และ Crossdocking ซึ่งทำให้สินค้าจะต้องถูกจัดเก็บในคลังสินค้าและบางส่วนเมื่อรับแล้วจ่ายออกไปทันที..มันก็ดูปกตินะครับ..แต่ทีเด็ดของการออกแบบนั้นผ่านวิสับทัศน์ที่กว้างไกลในจังหวะที่เหมาะสมครับ…แบ่งอธิบายเป็นส่วน ๆ แล้วกันนะครับ

  1. คลังสินค้า (Place ตัวที่ 1 สถานที่) : เนื่องจากปริมาณสินค้าที่ต้องการจัดเก็บนั้น…มีปริมาณเทียบเท่ากับ สินค้าบนพาเลทจำนวน 42,XXX พาเลท การออกแบบจึงต้องมีสร้างเพื่อรองรับถึง 43,000 พาเลท หากเลือกจัดเก็บด้วย Selective Rack จำนวน 6 ชั้น จะต้องลงทุนพื้นที่ประมาณ 43,000 ตารางเมตร..หากแต่เมื่อ Global house เริ่มต้นการวางแผนในการเลือกอุปกรณ์เก็บที่น่าสนใจ..อันได้แก่การใช้ ASRS ในการจัดเก็บสินค้า ใช้ lift เพื่อย้ายสินค้าระหว่างชั้น 1 และ 2 ส่งผลให้ Global house สามารถลดขนาดของคลังสินค้าลงเหลือประมาณ 12,000 ตารางเมตร..ลดลงถึง 31,000 ตารางเมตร – หากเทียบเป็นมูลค่าการก่อนสร้าง ณ 10,000 บาทต่อตารางเมตร จะพบว่า Global house ประหยัดเงินค่าก่อสร้างอาคารไปกว่า 310 ล้านบาท…และหาก ASRS คิดที่ 5,000 บาทต่อพาเลท (Selective rack ประมาณ 1,000 บาทต่อพาเลท) ราคาของ ASRS จะเท่ากับ 215 ล้านบาท..นั้นหมายความว่า การลงทุนสร้างที่จำนวนพาเลท 43,000 พาเลทเท่ากัน Global house สามารถประหยัดเงินค่า ก่อสร้างได้ถึง 95 ล้านบาทตั้งแต่วันแรกที่ดำเนินการทำงาน…..
  2. อุปกรณ์จัดเก็บสินค้า..(Place ตัวที่ 2 MHE) : คลังสินค้า หากเทียบที่ Selective Rack ทั่วไปนั้น จะต้องใช้ Reach truck จำนวนไม่น้อยทีเดียว เพื่อวิ่งตักสินค้ากว่า 43,000 ตารางเมตร จำนวนรถคงไม่น้อย…และเงินค่าเช่าหรือซื้อจำนวนรถเหล่านี้ หายวับไปกับตาเลย จริงไหมครับ เหลือแค่การจัดการแนวราบ…หากต้องเข้ารถ Reach truck สักเดือนละ 30,000 บาทต่อเดือน นั้นหมายความว่า Global house ไม่ต้องจ่ายเงินส่วนนนี้ในทุก ๆ เดือน หากเทียบและ น่าจะลดได้สักประมาณ 30 คันก็ตกเดือนละ 9 แสนบาท…
  3. ค่าไฟฟ้า…(Place ตัวที่ 3 Electricity Charging) ตัวนี้อาจจะมองว่า ASRS ใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก แต่หากได้ลองเห็นการออกแบบจริง ๆ จะพบว่า ค่าไฟฟ้าส่วนใหญ่ของคลังสินค้าคือ ไฟฟ้าแสงสว่างกับค่าอุปกรณ์เคลื่อนย้าย รวมกันแล้วกว่า 90% ของคลังทั้งหมด…ลองคิดตามนะครับ ใน ASRS ไม่ต้องใช้คนเข้าไปตัก…แล้วเราจะติดไฟฟ้าแสงสว่างในพื้นที่นั้นทำไม..ก็จบเลยครับ กว่า 50-60% ของค่าไฟฟ้าแสงสว่าง Global house ไม่ต้องจ่าย…(เท่าที่แอบทราบมาค่าไฟประมาณเดือนละ 30,000 บาท เมื่อเทียบกับคลังที่ต้องเปิด High Bay Lamp ถือว่า ประหยัดกว่ามาก จากเดือนละหลักแสนเหลือ 30,000 เห็นภาพชัดเลยนะครับ)
  4. ค่าจ้างแรงงาน (People) นั้น ในอดีตหากเราต้องทำงาน บนพื้นที่กว่า 43,000 ตารางเมตร เราจะต้องใช้คนจัดการเป็นจำนวนมาก..จากสายตาที่ประเมินนะครับ 25,000 case picked per day หรือ 300 ชิ้นต่อคนในชม ที่ ASRS+Sorting System ที่ Global house ใช้อยู่ หากให้คนหยิบธรรมดานะครับ จะได้ประมาณ 80-90 ชิ้นต่อคนในชม หากเทียบสัดส่วนง่าย ๆ จะพบว่า ASRS สามารถให้ความเร็วได้มากกว่า 3 เท่าตัวโดยประมาณ และปัจจุบัน Global house ใช้คนภายในคลังประมาณ 100-150 คน นั่นแสดงว่าหากเราใช้การหยิบแบบคลังทั่วไปจริง ๆ จะพบว่า..เราต้องใช้คนถึง 450 – 500 คนเลยทีเดียว (แอบคิดที่ค่าแรง 350 บาทต่อวันต่อคนนะครับ) ตกลงเดือนนึงจะต้องจ่ายเงินค่าพนักงานกว่า 4 ล้านบาทต่อเดือน..หรือราว ๆ 48 ล้านบาท หักลบกันแล้ว…ทาง Global house เอง จะใช้เงินแค่ 3 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 16 ล้านบาทต่อปี คราวนี้ชัดเลยนะครับ..
  5. ค่าความเสี่ยงที่สินค้าเสียหายหรือการขับรถเฉี่ยวชน (People) บอกได้เลยครับว่า เมื่อไม่มีคนเข้าไปอยู๋ในระบบมาก ๆ ความเสี่ยงก็ลดลงตามครับ…เพราะการวัดเราคงเถียงไม่ออกว่าเครื่องวัดแม่นกว่าคน….อันนี้เลยประเมินยากมากครับ…และหนำซ้ำร้ายกว่านั้นค่า ดูแลระบบ ASRS ยังจ่ายเพียง 3-5% ของราคาที่ซื้อ นั่นหมายถึงหากคุณหาเงินได้มากกว่า 6-8 ล้านบาท คุณก็ไม่ต้องพะวงเรื่อง ASRS จะเสียหายมากมายนัก…(จริง ๆ แล้วแค่ค่า saving ที่ค่าแรงก็สามารถซื้อประกันชั้น 1 ให้ ASRS ได้อยู่แล้ว…
  6. กระบวนการทำงาน (Process) ที่นำเอาระบบของ การจัดการคลังสินค้าอย่างเป็นเครือข่าย และครอบคลุม..อันนี้ผมมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก ๆ สำหรับอนาคตของบริษัท เนื่องจาก ทาง Global house มีทีม In-house IT Development team นั่นหมายความว่า..ระบบจะไม่ต้องจ่ายค่าเช่าระบบจากต่างประเทศ รวมทั้ง สร้างสรรนวัตกรรมจากทีมนี้ได้อย่างไม่สิ้นสุด..ตัวอย่างเช่น การใช้ Minimum stock ที่ หน้าร้าน เพื่อสั่งเปิด order อัตโนมัติมายังคลังสินค้า การ Booking รับสินค้าโดย Supplier ที่ต้องเชื่อมโยงถึงปริมาณคนงานและพื้นที่คลังรวมทั้งประตูรับสินค้าได้อย่างครบถ้วน..รวมทั้งสินค้าทุกตัวจะถูกบันทึก Dimension และ weight ไว้เสมอ เพื่อใช้ในการยืนยันจำนวนตอนเคลื่อนย้ายระหว่างจัดได้อย่างถูกต้อง. รวมทั้งยังมีการนำจอมาใช้สั่งงานแทนการใช้ RDT ที่ผู้ใช้จะต้องเลือก function แต่อันนี้เกิดจากการแยก function ของงานออก ทำให้แต่ละคนไม่ต้องถือกระดาษหรืออะไร เพียงแต่มองคำสั่งในจอ และบนสายพานจะยืนยันน้ำหนักและเลขที่กล่อง ในการเคลื่อนย้าย ระบบจะบันทึกและส่งข้อมูลไปยังส่วนกลางเพื่อประมวลผล…

.

จากวิสัยทัศน์ที่คิดจะสร้างคลังเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจของ Global house นั้น..ทาง Global house เองจริง ๆ ถือว่าจ่ายเยอะมากเลย หากมองเม็ดเงินลงทุนที่ใส่เข้าไปในระบบ ASRS เพียงอย่างเดียว แต่หากมองออกมาแบบ Bird eye view จะพบเลยว่า Global house แทบจะได้คลังสินค้าทีมี ระบบ ASRS มาฟรีเลย เมื่อเทียบกับ นวัตกรรมสมัยก่อน..หากจะกล่าวคงต้องบอกได้แค่ว่า วิสัยทัศน์ จังหวะการลงทุนที่ดีเยี่ยม และผู้ร่วมคิดและสร้างผลงานนี้ ทำให้ Global house สามารถทำสิ่งนี้ได้ อันนี้ต้องขอคาราวะเลยครับ..ไม่ธรรมดาจริง ๆ ใช่ว่ามีคลังเปล่า ๆ แล้วจะมาทำได้นะครับ อันนี้ผ่านการตัดสินใจและวางแผนการสร้างอย่างดีนะครับ จึงออกมาได้แบบนี้..

.

ลองคิดดี ๆ นะครับ หาก Global house เป็นรายแรกในกลุ่มการค้าอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจรที่ลงทุนในระบบนี้ในประเทศไทย และเจ้าอื่น ๆ ยังใช้ระบบเดิมอยู่ (มาสักพัก) คราวนี้เราจะเห็นเลยครับว่า… แค่การวางกลยุทธ์การจัดการคลังสินค้านั้น ทำให้ Global house ลดต้นทุนไปเท่าไหร่…และส่วนต่างนั้นคือไพ่ใบสำคัญเลย ที่ทำให้ Global house สามารถก้าวข้ามไปในขอบเขตของการจัดการที่เจ้าอื่น ๆ ยังไม่สามารถเดินตามมาได้ในตอนนี้

.

เมื่อก่อนผมได้ยินแต่คำว่า..พื้นที่ในไทยมันเยอะ ไม่ได้แพงอย่างที่คิดหรอกจะลงทุนเยอะ ๆ (ASRS) ไปทำไม…มองให้ลึกเข้าไป มันชัดเจนครับ หาก pattern การจัดส่งแน่นอนจริงและต่อเนื่องสอดคล้องกับเวลา (just in time – JIT) แล้วนั้น ASRS ก็ถือว่าเป็นอาวุธสำคัญในการขับเคลื่อนเลยทีเดียว..แต่หากการจัดการคลังนั้น ทั้งช้า ทั้งไม่เร่งรีบอะไร…(มีเยอะนะครับที่ลูกค้าไม่เร่งรีบอะไร) และลงทุนใช้ระบบที่มีราคาสูงขนาดนี้นั้น…คงไม่ต่างกับภาษิต ที่ว่า ขี่ช้างจับตั๊กแตน นะครับ

.

ขอขอบคุณ บริษัท Global house ที่ให้เกียรติร่วมงานเปิดตัวคลังสินค้าอันยิ่งใหญ่

ในส่วนนี้ผมได้สมมุติราคา/ค่าใช้จ่าย จากการสังเกตในการทำงานที่ผ่านมา ๆ นะครับ ไม่ได้เป็นตัวเลขที่ได้รับการยืนยันจาก Global house แต่อย่างใดครับ

.

ปู๊ดป๊าด หยิบมาให้ทันที (Automatic Warehouse)

.

อัตโนมัติ (Automatic) ในคลังสินค้ามันมีหน้าตายังไง…ตามหลักของคลังสินค้านั้น มีการทำงานหลัก ๆ ตามหลักฟิสิกส์ อยู่ 2 อย่าง คือการเคลื่อนไหว (Dynamic) กับอยู่กับที (Static) เราจะวุ่นวายกับเรียบง่ายในการทำงานก็เพราะ 2 แนวคิดนี้..บางทีดูไม่เกี่ยว…แต่เราลองดูมิติให้เห็นภาพนะครับ…

.

น้อง ๆ จะต้องตักสินค้าเข้าไปเก็บ ก็คือจาก Dynamic ไปยัง Static เมื่อหยิบสินค้าจัดส่ง ก็จาก Static ไป Dynamic… อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ..จุดเริ่มมันอยู่ตรงนี้ครับ…ผมอยากจะบอกว่า ถ้าเราจัดการให้เราจัดการเรื่องพวกนี้ได้ เป็นอันจบถูกไหมครับ…ในปี 1960 ก็จึงเริ่มมีความคิดว่า เอาเครื่องจักรที่สามารถควบคุมพิกัดของสินค้าบน Rack (Static) แล้วก็เป็นเครื่องจักรที่สามารถเคลื่อนย้าย (Dynamic) มายังจุดหมายปลายทางที่เราต้องการ..ผมคงไม่อธิบายมากกว่า เพราะเอาวีดีโอจาก Youtube มาแนบให้ดูแล้วนะครับ…..

.

ที่ยกเรื่องนี้ขึ่นมาเพราะจะย้ายของไปไหนก็แล้วแต่นะครับ..สุดท้าย เราต้องการทำทุกอย่างอยู่บน เวลาที่กำหนดจริงไหมครับ..ดังนั้นผมจะขอมาเสนอมุมมองเรื่องงบที่จะต้องลงทุนกันดีกว่าครับ…ว่ามันคุ้มจริงหรอ กับความปู๊ดปาดที่เราแลกกับเม็ดเงินที่จะลงทุน…

.

ช่วยด้วยสมการดีกว่าครับ คลังสินค้าทั่วไป ต้นทุนหลัก ๆ ก็ ค่าเช่า (Rental) + ค่าแรง (Manpower) + ค่าอุปกรณ์จัดการ (MHE) + ค่าระบบจัดการ (IT) + เงินลงทุนในเรื่องต่างๆ (Investment) แล้วเมื่อสร้างคลังตามปกติก็คงไม่พ้นว่า จะสร้าง Rack จ้างคนเข้ามาทำงาน..อุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ามาจัดการถูกไหมครับ….แต่เมื่อมีแนวคิดว่า จะเอา ASRS (Automated storage and retrieval system) มาใช้แล้วมันคุ้มไหม…

.

ความเปลี่ยนแปลงของการใช้ ASRS นั้น ทำให้ พื้นที่ลดลง, ค่าเช่าก็ลดตาม, แรงานใช้น้อยลง, อุปกรณ์แพงขึ้นทันที, ระบบจัดการจ่ายไม่ต่างจากเดิมมาก, การลงุทนก็มีค่าใช้จ่ายหลายตัวหายไป หลายตัวเพิ่มขึ้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบ….แต่โดยรวม แค่ค่าเช่า, ค่าจ้างพนักงาน ลดลงก็มีส่วนที่จะพลิกชีวิตกันเลยทีเดียว..มองระยะก็เงินก้อนใหญ่ มองระยะยาวก็ลดความวุ่นวายไปเยอะมาก…

.

แต่ระบบอัตโนมัติ…ไม่ใช่ยาแก้ปวดหัวที่แท้จริงเสมอไปนะครับ…เพราะการจะเลือกใช้จริง ๆ …มันไมได้ดูแค่ต้นทุนที่จะลงทุน แต่ยังต้องมองว่า มันถึงขั้นจะต้องทำแบบนี้จริงหรอไม่….เช่น ถ้าลูกค้าของคุณ เก็บของเยอะจริง ๆ แต่ไม่ได้ถูกหยิบจ่ายบ่อย..อาจจะไม่จำเป็น..ถ้าสินค้ามีความหลากหลายมากมายหลาย SKU อาจจะใช้ได้ไม่คุ้มก็เป็นไปได้..ดังนั้นเวลาจะใช้งานจริง ๆ นั้น ในไทยเริ่มแผ่หลายกับผู้ผลิต แต่ผู้ให้บริการคลังสินค้ากับไม่ฮิตในทันที คงพอเห็นภาพนะครับ…

.

ดังนั้นการเลือกอุปกรณ์อาจจะต้องมาทีหลัง แต่เราต้องรู้ก่อนว่า ความเคลื่อนไหวของสินค้ามันมีความจำเป็นแค่ไหน ความไวในการจัดส่งสินค้าก่อน…จะส่งสินค้ายังไง…แล้วเราจะเลือกเครื่องมือได้ถูกต้องครับ…จักรยานแพงแต่คุณแค่ต้องการซื้อข้าวแกงแค่หน้าปากซอย ก็ไม่ต้องซื้อมาหรอกครับ ผมเชื่อว่า ซาก๊าน (แชมป์โลกคนล่าสุดปี 2017 – สามสมัยซ้อน) ก็คงแค่ปั่นจักรยานพับไปซื้อหละครับ 555

.

Link Youtube: https://www.youtube.com/watch?v=r4ekwTShuyo

 

ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent : A.I)

ขอโหนกระแสสักเรื่องนะครับ เดี๋ยวจะตกยุคเสียก่อน..มาเริ่มกันเลยครับ กับคำว่า “ปัญญาประดิษฐ์” หรือเรียกสั้นว่า A.I ..และอย่างเคยครับ หลายคนรู้จักมันค่อนข้างดีเลย..ใช้กันทุกวันแล้วในตอนนี้ สอดแทรกเข้ามาในชีวิตประจำวันไปหมด ไม่ว่าจะ Google Search Engine ที่แสนจะรู้ใจเราว่าจะหาสิ่งใด, ระบบ Siri ที่ออกแบบให้คิดนั่นนี่มาตอบสนองความต้องการของเราผ่านมือถือ…และเมื่อไม่นานมานี้ ประเทศแถบทวีปยุโรป สามารถทดลองสร้าง A.I ที่มีความคิดและไตร่ตรองเพื่อตัดสินใจเองได้แล้ว และความคิดของ A.I นั้นเริ่มก้าวข้ามความรู้ที่เรามีเช่น การประดิษฐ์ภาษากันเอง จนผู้ทดสอบต้องทำลายทิ้ง…ยุคคนเหล็กหล่อล่ำแบบลุงอาโนลคงอีกไม่นานเกินไปแล้ว คงต้องพึ่งพา จอห์น คอนเนอร์กันหละคราวนี้…..

.

แต่ก่อนจะโลกระเบิดตูมตามไปนั้น คลังสินค้าก็ยังคงทำงานกันต่อไป ซึ่งในคลังเองก็มี A.I เข้ามาร่วมทำงานกับพนักงานในสารพัดที่เลย..หลัก ๆ แล้วมันมีมาในหลากหลายรูปแบบครับ แต่มักจะมาในรูปแบบการทำตามคำสั่งของผู้ใช้ระบบและจัดการข้อมูลให้เราตามที่ออกแบบไว้ (Strategy set) ฟังดูก็ง่ายนะครับ ไม่เห็นมีอะไรเลย..แต่ผมขออธิบายเพิ่มเติมนะครับ..

.

การทำงานของระบบจัดการคลังสินค้านั้น หากเราทำเอง ตัวเราเองก็คือคนสั่งการ การทำงานภายในคลัง.. หากแต่เริ่มเข้าสู่ระบบหละ จะคิดยังไง…ก็คงบอกได้ว่ามันเริ่มจากการที่ผู้คุมระบบจัดการคลังสินค้า (WMS Administrator) นั้น เป็นผู้ตั้งค่า (Set up) การสั่งรับและจ่ายสินค้า (In and Out) ให้เป็นไปตามข้อตกลงกับลูกค้า…ขอยกตัวอย่างนะครับ..

.

คลังสินค้าเก็บน้ำผลไม้เจ้าหนึ่ง เมื่อเริ่มจัดเก็บสินค้านั้น…ก่อนจะเริ่ม ทางผู้ใช้บริการ จะต้องระบุเงื่อนไขการรับสินค้าเช่น สินค้าที่หมดอายุก่อน (FEFO – First Expire First Out) จะต้องจ่ายออกก่อน หรือสินค้าที่จ่ายถึงร้านค้าจะต้องมีอายุสินค้าไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 ของอายุสินค้าทั้งหมด…ถ้าเราไม่ระบุ และต้องมานั่งตรวจสอบทั้งคลังเพื่อเลือกสินค้าจ่ายออกนั้ การทำงานคงไม่ง่าย..แต่หากให้ A.I ช่วยหละ มีคนจะคอยหาข้อมูลนับพันหมื่นพาเลทในคลังสินค้าและเปรียบเทียบให้สามารถหยิบสินค้าได้ สบาย ๆ เลย..ดังนั้น เงื่อนไขของผู้ใช้บริการคลังสินค้า จะต้องเป็นผู้กำหนดให้ชัดเจน และสอดคล้องกับเงื่อนไข ของการตลาดและการเงิน.. A.I จึงเป้นตัวช่วยชั้นเลิศในการทำงานจริงมั้ยครับ…

.

แต่ยังไม่หมดแค่เรื่องของในระบบนะครับ มันดูจับต้องยากไปนิดนึง คราวนี้ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นชัดขึ้น แล้วอาจจะทำให้เข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก A.I ครับ…ในปัจจุบันในประเทศไทยมีคลังสินค้าหลายคลังที่ลงทุนเพื่อทำคลังสินค้า อัตโนมัติ…ส่วนใหญ่สินค้าที่จะใช้การจัดเก็บแบบนี้ในไทยยังมีไม่มาก และจะต้องเป็นสินค้าที่หยิบคราวละมาก ๆ เป็น พาเลท ๆ เพื่อให้คุ้มค่าในการลงทุน โดยการสร้างพื้นที่จัดเก็บไม่ได้ต่างจากเดิมมาก แต่จะมีหุ่นยนต์พร้อมกับรางเลื่อน เพื่อเคลื่อนย้ายหุ่นยนต์นั้น ไปตักสินค้าจากตำแหน่งจัดเก็บ… และมาส่งยังพื้นที่รับสินค้าที่กำหนด..ระบบดังกล่าว เรียกว่า ASRS – Automated Storage and Retrieval System ความสูงของระบบสามารถทำให้สูงได้เท่ากับข้อจำกัดของอาคารเลยทีเดีย บางทีสูงถึง 23-25 ชั้น, ระบบออกแบบให้สามารถจัดเก็บได้ตามกลุ่มสินค้าหรือตามอายุสินค้า, ตักได้ตลอดเวลาการทำงาน ไม่มีการกีดขวางกันในช่องทางหยิบสินค้า..

.

ความสะดวกและแม่นยำในการทำงานของระบบ และภาวะการทดถอยของความสามารถของแรงงานที่ลดลง รวมทั้ง AEC นั้นได้เปิดโอกาสให้แรงงานต่างด้าวหลั่งไหลเข้ามาตามที่ต่าง ๆ ในการทำงาน..สำหรับนายทุนแล้วคงตัดสินใจที่จะเลือกใช้แรงงานต่อหรือ A.I นั้น ถ้ามีเงินในการจัดการ อุปกรณ์ที่แสนจะแม่นยำ คงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า…ดังคำที่ว่า “ในอนาคต หากจะเลือกทำอาชีพ ควรจะต้องเป็นอาชีพที่ไม่มีเครื่องจักรทำแทนได้”

.

ดังที่ได้กล่าวมา ปัญญาประดิษฐ์ (A.I) ได้ถูกดัดแปลงเพื่อทำงานในหลาย ๆ ส่วนในชีวิตเรา..รวมทั้งเริ่มเข้ามาทดแทนงานบ้างอย่าง..เพื่อ ลดความผิดพลาดและเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ…หากวันนึงการที่เรายัดความคิดเข้าสู่ระบบมากพอที่จะตัดสินใจได้ดีจนเราสามารถเอามาแทนที่หัวหน้างานได้สำเร็จ…มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ไกลจนเกินจริงไป..

.

ความเปลี่ยนแปลงไม่มีวันหยุด…ทุกอย่างพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว…หากเรายังเดินอาจจะไม่ทันอีกแล้ว…การก้าวที่มั่นคงและไม่ตกโลกไปนั้นก็เป็นเรื่องจำเป็นจริง ๆ ..ดังนั้นการทำงานที่ดีคือวิถีทาง แต่นอกจากสิ่งนี้แล้วการเรียนรู้ระบบให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอคงหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว

.

ขอให้ทุกท่านโชคดีและผ่านยุคคนเหล็กที่ใกล้เข้ามานะครับ