.
การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory) นั้น ถูกพัฒนาเรื่อย ๆ มา ด้วยวิธีการทำงานต่าง ๆ โดย วิธีการจัดการให้ความถูกต้องและแม่นยำของสินค้าคงคลัง (Inventory Accuracy) นั้นมีหลากหลายวิธี แต่ผมจะขอแบ่งเป็นขั้นตอนเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า การทำให้สินค้าคงคลังถูกต้องเสมอในทุกกระบวนการ ทำได้จริงหรือไม่
.
เมื่อสินค้ามาถึงคลังสินค้า หรือที่เรียกว่า สินค้าขาเข้า เป็นช่วงเวลาบาดใจมาก เพราะในมือของเรานั้น จะมีเพียง สายตา เอกสาร และตัวสินค้าเท่านั้น ที่จับต้องได้ หากมีการส่งข้อมูลล่วงหน้ามายังระบบจัดการภายในคลังสินค้า (interface to WMS) ก็ใช่ว่าจะช่วยให้สินค้าคงคลังตรงและถูกต้อง เพราะระบบ WMS ไม่มีลูกตา ดังนั้นในปัจจุบันนั้น หากไม่ได้ใช้ระบบที่ลงทุนมาก ๆ อย่าง RFID (Radio-frequency identification) ก็จะต้องพึ่งพาตัวเรานี่แหละเพื่อตรวจสอบ ซึ่งการทำให้ถูกต้องได้นั้น จะต้องนับทุกชิ้น (ในหลาย ๆ คลังสินค้า ผู้ซื้อตกลงกับผู้ขายเรื่องการคิดเงินคืน หรือ Claim เพื่อลดขั้นตอนในการทำงาน) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็จะต้องแลกมากับเวลาและแรงงานที่ต้องสูญเสียไป
.
กรณีที่สินค้าอยู่ภายในคลังหรือพื้นที่จัดเก็บที่เตรียมไว้แล้วนั้น การนับทุกวัน (Daily Cycle Count) ก็เป็นวิธีที่ใช้สำหรับตรวจสอบความผิดเพี้ยนของสินค้าคงคลัง (Stock Discrepancy) ที่อาจเกิดขึ้นได้
.
และเมื่อถึงการหยิบจ่ายออกไปนั้น การหยิบและจ่ายสินค้าตามใบคำสั่งหยิบ (Picking Slip) ทั้งในส่วนของตรงรหัสสินค้า (Correct SKU), ตรงวันผลิตสินค้า (Correct batch/lot) ตรงจำนวนที่ระบุให้หยิบ (Correct QTY) เป็นการทำให้สินค้าคงคลังถูกต้องการ ได้เหมือนกัน
.
จากขั้นตอนง่ายของการนำสินค้าเข้าคลัง การนำสินค้าออก และการตรวจสอบสินค้าในคลังนั้น มีส่วนช่วยทั้งสิ้นที่จะทำให้สินค้าคงคลังแม่นยำและถูกต้อง
.
ทุกวันนี้เล่า เขาทำกันอย่างไร….
มันก็ยังมีหลายแบบนะครับขึ้นอยู่กับต้นทุน ได้แก่
- การใช้ Stock Card เพื่อตรวจสอบในพื้นที่จัดเก็บนั้น ๆ ว่าสินค้าตรงกับจำนวนที่ระบุใน Stock Card หรือไม่
- การใช้ RDT (Radio Data Terminal) เพื่อเป็นการยืนยันแบบทันทีในระบบ อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าระบบ WMS ของคุณนั้นสามารถ วางแผน, รองรับ, ระบุ, ตรวจสอบ ได้ดีแค่ไหน เพื่อชี้แจงตำแหน่งของสินค้า, การเคลื่อนไหวของสินค้า, การทวนสอบต่าง ๆ ระหว่างข้อมูลหลายหลากบนสินค้านั้น เป็นต้น
- การใช้ RFID (Radio-frequency identification) นั้น ถือว่าค่อนข้างง่ายเลย เพราะบนสินค้าจะมีระบุตัวสะท้อนสัญญาณที่ออกมาเป็นรหัสที่ระบุไว้บนแต่ละชิ้นสินค้า (ลองดูตัวอย่างง่าย ๆ ได้ที่ร้านหนังสือหรือห้างสรรพสินค้าที่มีเครืองตรวจจับเวลามีขโมย ขโมยหนังสือออกจากร้านนะครับ)
แต่โดยรวมแล้ว ผลของการนับสินค้าคงคลังก็จะเพียงต้องการผลคือ “สินค้าอยู่ถูกที่ไหม”, “จำนวนตรงหรือไม่”, “รหัสผลิตตรงไหม”
.
ดังนั้นการทำให้สินค้าคงคลังตรงและถูกต้องนั้น มี “หลากหลายวิธีการ” ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่อยู่บน “หลักการเดียว” เท่านั้น คือ ทำอย่างไรให้เรารู้ว่าสินค้าเคลื่อนไหวไปที่ไหน และจะต้องหาเจอเสมอ รวมทั้งสอบกลับได้อย่างชัดเจน (Trackable and Traceability)
.
ของในบ้านเราก็ไม่ต่างกันนะครับ แต่แค่เราใช้วิธีนึก ไม่ได้ใช้ระบบเท่านั้น!