QR Code VS BAR Code

คงเป็นเรื่องเก่าสำหรับหลายคน แต่ก็อาจจะมีบางท่านที่ยังไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์ยังไง และมีประโยชน์ยังไงกับคลังสินค้าครับ.. Barcode นั้นถูกสร้างขึ้นเมื่อราว ค.ศ. 1950 และเมื่อราว 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น ก็มี QR Code แพร่หลายในการใช้งานในเมืองไทย ทั้ง การแอดไลน์ (โปรแกรมแชทยอดฮิตในเมืองไทย) รวมทั้งเริ่มแพร่หลายเข้ามาในรูปแบบของการบันทึกค่า URL ของ Website เพื่อง่ายต่อการส่งต่อลิงค์ ด้วยการ ส่งภาพ และผู้รับปลายทางสามารถสแกนด้วยโปรแกรมบนมือถือก็เปิดอ่านได้แล้ว….

.

สรุปก่อนไปต่อนะครับ

Barcode เก็บข้อมูล เชิงเดียว อ่านค่าได้ค่าเดียว

QR Code เก็บข้อมูลเชิงซ้อน อ่านได้ค่าหลายค่าแล้วแต่การระบุ

.

เมื่อมองมาที่คลังสินค้านั้น ในหลาย ๆ สินค้า ก็มี Barcode มานานมากแล้ว แต่ไม่ใช่ทุกผลิตภัณฑ์ ..หากจะถามว่า

.

แล้วมันช่วยอะไร? ก็คงบอกได้ว่า การมี barcode จะช่วยจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินค้าไว้ และเมื่อสินค้าเข้าสู่คลังสินค้าแล้ว การสื่อสารระหว่างระบบกับผู้ใช้งาน ไม่จำเป็นจะต้องพิมพ์ข้อมูลทุกอย่าง แต่สามารถใช้เพียงการ Scan เพื่อให้อ่านค่าใน Barcode ได้ …และเมื่อเกิดการแพร่หลายของ QR Code แล้วนั้น สินค้าหลายตัวจึงเริ่มหันมาใช้….

.

ทำไมถึงหันมาใช้? ก็ต้องบอกก่อนว่า QR Code นั้น มันมีทีเด็ดครับ…ด้วยการเก็บข้อมูลเชิงซ้อนได้ภายใน QR Code คือ เมื่อคุณ Scan QR Code แล้วนั้น มันจะถูกอ่านค่าได้มากกว่าแค่ รหัสเชิงเดี่ยวแบบ Barcode การใช้งานจึงมีการใส่ข้อมูลเข้าไปหลายอย่าง เช่น SKU, Batch, Lot, Manufacturing Date, Expiry Date เป็นต้น…ลองคิดตามดูนะครับ เมื่อใส่เข้าไปได้แบบนี้ เวลานำสินค้าเข้าคลัง Barcode หรือ QR Code ตัวไหนจะง่ายกว่ากันครับ.. คำตอบคงต้องบอกว่าเป็น QR Code ใช่ไหมครับ

.

แต่ในโลกความเป็นจริงมันอาจจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้น…เพราะ การสร้าง Code 1 ตัวขึ้นมาเพื่อสินค้าแต่ละตัวนั้น อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด หรือผู้บริการเองมองว่า ไม่จำเป็นต้องมี เพราะในสินค้าบางตัวนั้น จะต้องทำ Sticker เพื่อแปะบนกล่องสินค้า..ส่งผลให้..ในยุคปัจจุบันนั้น สินค้าหลาย ๆ รายการนั้น แม้นจะมีมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีแม้นกระทั่ง Barcode ส่งผลให้ต้องเกิดการ อ่านและจดกันเรื่อยมา…ไม่ใช่เรื่องยากและง่ายซะทีเดียวครับ…

.

หากจะมองให้ใกล้ตัวขึ้น คงต้องบอกว่า ด้วยความเปลี่ยนแปลงของโลก เราก็จะกึ่งเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน QR Code ไปโดยปริยาย เพราะเมื่อไม่นานมานี้ ธนาคารหลาย ๆ ธนาคารในประเทศไทย ปรัปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งการใช้ระบบ Digital เข้ามาใช้กับชีวิตประจำวัน ดูจะเป็นแก่นหลักของการพัฒนานี้…เราสามารถจ่ายเงินค่าวินมอเตอร์ไซด์ผ่านAppของธนาคารได้แล้ว..ไม่ต้องถือเงินสดด้วยซ้ำ…

.

เทียบกับงานคลังสินค้าแล้วหละ…”เงิน” ก็เหมือนเป็นสินค้าคงคลัง (Inventory), “ผู้ใช้เงิน” ก็เหมือนกับพนักงานคลังสินค้า (Operator), “App มือถือ” ก็เหมือนกับระบบการจัดการคลังสินค้า WMS, “เลขที่บัญชี” ก็เหมือนกันตำแหน่งที่จัดเก็บสินค้า… แทบจะไม่แตกต่างเลยในเชิงระบบ แต่แตกต่างที่นั่นมันคือเงินของเรา….

.

การเปลี่ยนแปลงนั้นยากสำหรับโลกเสมอ แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นเสมอเช่นกัน.. ไม่ว่าจะเปลี่ยนจากการใช้ Barcode ไปสู่ QR Code หรือ การเปลี่ยนจากการโอนเงินจากการกรอกแบบฟอร์ม กลายเป็น QR Code หรือ การบันทึกข้อมูลการเคลื่อนไหวของสินค้าในคลังจากการจดมือสู่การใช้ระบบ…

.

ลองเปิดใจรับนะครับ บางทีอาจจะง่ายกว่าที่คุณคิด…

.

ขอเสริมนอกเรื่องคลังนิดนึงนะครับ..หลายคนบ่นเรื่อง การใช้ App อาจจะถูกตรวจสอบ.. การใช้ Promptpay อาจจะถูกตรวจสอบ…ไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้ครับผม …ผมเชื่อว่า ทุกคนทำอะไร รัฐไม่ได้รู้ขนาดนั้นหรอกครับ แต่ในส่วนของเงินที่คุณต้องจ่ายรัฐ เชื่อสิครับ รัฐก็ไม่ปล่อยให้คุรลอยนวลหรอกครับ ดังนั้น หากจะลองใช้เครื่องมือใหม่ ๆ ผมก็มองว่า ลองเปลี่ยนแปลงไปใช้ดูสักครั้งนะครับ ถ้ามันช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น ก็จัดเลยครับ..

ส่งเสร็จมันต้องแจ้ง.. (POD)

.

การจัดส่งสินค้าเสร็จสิ้นแล้วนั้น จะรู้ถึงคนอื่นได้อย่างไร ถ้าไม่บอก จริงไหมครับ ศัพท์ทั่วไป ๆ ที่เค้าใช้กันก็ POD (Proof of Delivery) นั่นเอง..โดยปกติขั้นตอนการทำงานก็ง่าย ๆ ครับ..ลูกค้าหรือปลายทางที่รับสินค้าจะได้รับเอกสารจากคนขับรถเสมอ..และก็ต้องเซ็นเมื่อรับสินค้าเสร็จสิ้น เพื่อยืนยันว่าได้รับสินค้าถุกต้องตามใบส่งสินค้า… โดยที่มักจะมีหลาย ๆ แบบเช่นแนบคำสั่งซื้อ  (PO) ไปด้วย เมื่อคนขับรถจะออกจากปลายทางก็จะรับเอกสารกลับมาด้วย และนำไปยืนยันกลับคลังและนำไปขึ้นค่าขนส่งกับผู้จ่าย..

.

แต่รู้ไหมครับ ไอ่การจะเซ็นชื่อเนี่ยะ มหากาพย์ เลยนะครับ ถ้าเป็นดังที่ได้กล่าวมา เราคงได้เอกสารยืนยันตั้งแต่วันถัดไปจากที่ส่ง…แต่ชีวิตจริงนั้น คนละเรื่องเลย..บางทีกว่าจะได้ ก็ 3-5 วัน อันนี้ยังดีนะครับ บางครั้งไปถึง 7 วันก็มีนะครับ (อันนี้เทียบกทม และปริมณฑลนะครับ) บางทีเจอเซอร์ไพร์อีกครับ…เอกสารหายครับ ไม่มีอะไรยืนยันอีก นอกจากลูกค้าปลายทางจะไม่โทรมา ตำหนิ (Complain) มันดูไม่ง่ายจริงไหมครับ..มากคนยิ่งมากความ..ด้วย

.

เมื่อเวลาผ่านไป…ระบบการสื่อสารท่ดีขึ้น ระบบการเชื่อมต่อข้อมูลดีขึ้น..ความเปลี่ยนแปลงก็เกิด จะเห็นชัด ๆ ก็ ไปรษณีย์ไทยครับ ที่เริ่มมีการนำเครื่องมือ PDA (Personal Digital Assistant) ใช้ ทั้งการยืนยันการส่งสินค้า, ทั้งให้ผู้รับสินค้าได้เซ็นชื่อที่เครื่องได้เลย รวมทั้งยังไม่ทิ้งเรื่องเอกสารเพื่อตรวจสอบระบบอีก…ในวงการคลังมีกันแทบจะทุกยี่ห้อแล้วนะครับ..ก้าวหน้าไปถึงขั้นลง App มือถือ ต้นทุนในค่าอุปกรณ์ลดลงทันที, เข้าถึงได้ง่าย, และผลที่ต้องการก็เกิดขึ้น ทั้งสามารถยืนยันด้วยการเลือกคำสั่ง, ภาพถ่ายหน้าบิล, ลายเซ็นของลูกค้า หรือ จะเป็นการแจ้งปัญหาในการจัดส่งก็สามารถเลือกได้ด้วย App ดังกล่าว…ไม่มีคงถือว่าเชยเข้าไปใหญ่…และปัจจุบัน ก็กำลังพัฒนาไปสู่การทำ App ที่แจ้งกันไปเลยว่าจะให้ไปรับจากไหน ส่งที่ไหน ใครเป็นคนรับ ยืนยันตัวกันได้เลยทีเดียว..

.

หากยังต้องใช้เอกสาร ระบบการขนส่งก็ยังใช้กันต่อไป..และระบบก็คงควบคู่กันไป…แต่ผมเชื่อว่าอีกไม่นาน ในประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ 4.0 แล้ว หากว่า การพัฒนายังคงมีอย่างต่อเนื่อง..การแทนที่เอกสารด้วยเครื่องมือเหล่านี้น่าจะมาถึงในอีกไม่นานแล้ว…

 

#WarehouseManagement, #POD, #ยืนยันการจัดส่ง, #PDA, #Complain, #Thailand4.0